เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2568 ที่หมู่บ้านแคววัวดำ ต.แม่ยาว อ.เมือง จ.เชียงราย เครือข่ายประชาชนปกป้องลุ่มน้ำกก สาย รวก โขง สถาบันพัฒนาระบบประเมินผลกระทบทางสุขภาพโดยชุมชน (CHIA Platform) มูลนิธิพัฒนาชุมชนและเขตภูเขา (พชภ.) และไทยพีบีเอส ได้ร่วมกันสำรวจชุมชนที่ประสบความเสี่ยงจากสถานการณ์แม่น้ำกกท่วมและน้ำปนเปื้อนสารโลหะหนักเกินมาตรฐาน โดยได้นำชุดตรวจคุณภาพน้ำ Test Kit (ชุดทดสอบภาคสนาม) เข้าไปแนะนำให้ชาวบ้านรู้จักวิธีใช้การตรวจสอบคุณภาพน้ำเบื้องต้น ซึ่งมีผู้นำหมู่บ้าน อสม.และชาวบ้านกว่า 10 คนร่วมเรียนรู้
น.ส.สมพร เพ็งค่ำ ผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาระบบประเมินผลกระทบทางสุขภาพโดยชุมชน และนักวิจัยอิสระ กล่าวว่า ได้มาร่วมออกแบบระบบเฝ้าระวังกับชุมชน เนื่องจากที่ผ่านมาการตรวจสอบค่าต่างๆในพื้นที่มักดำเนินการโดยเจ้าหน้าที่รัฐและชาวบ้านไม่ได้มีส่วนร่วม จึงทำให้ไม่สามารถคลายข้อกังวลว่าจะใช้ชีวิตอย่างไรท่ามกลางสารโลหะหนักที่ปนเปื้อนอยู่ในแม่น้ำกก ดังนั้นจึงได้มาชวนให้ชาวบ้านเฝ้าระวังตัวเองโดย สอนให้เขารู้จักว่ามลพิษในแม่น้ำกกมีที่มาเป็นอย่างไร และใช้เครื่องมืออย่างง่ายในตรวจภาคสนาม นอกจากนี้ยังสอนให้ชุมชนรู้จักการบันทึกข้อมูลและออกแบบฐานข้อมูลไว้ เพื่อต่อไปจะได้คาดการณ์ได้ว่ามีบริเวณไหนบ้างที่เป็นจุดเสี่ยง เพื่อที่ชาวบ้านจะได้รู้เท่าทันสถานการณ์มากขึ้น
น.ส.สมพร กล่าวว่า เท่าที่รับฟังชาวบ้านสิ่งที่เป็นห่วงคือคุณภาพน้ำ รวมถึงเรื่องข้าวและพืชผักต่างๆ ซึ่งไม่แน่ใจว่ามีความปลอดภัยหรือไม่ อย่างไร แม้หน่วยงานราชการบางแห่งจะตรวจบ้างแล้ว แต่เป็นการตรวจโดยภาพรวม ดังนั้นจึงพยายามให้ชาวบ้านได้มีเครื่องมือตรวจเบื้องต้น และรู้จักวิธีการเก็บตัวอย่างและนำผลที่ได้มาหารือกัน
“เราเชื่อวิธีการเช่นนี้ชาวบ้านจะคลายข้อกังวลใจลง จริงๆแล้วภาครัฐควรเข้ามาสนับสนุนในเรื่องชุดเครื่องมือในการตรวจสอบและความรู้ รวมถึงการส่งตัวอย่างไปห้องปฎิบัติการ ชาวบ้านต้องการวงคุย ไม่ใช่แค่อ่านเอาจากการสื่อสารทางเว็บไซต์ ประชาชนควรมีส่วนร่วมตัดสินใจชีวิตของตนว่าจะเป็นอย่างไร หากมีการปนเปื้อนควรได้รับการบริการทางการแพทย์ที่เหมาะสมควรเป็นอย่างไร” น.ส.สมพร กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า การที่ชุดตรวจมาให้ชาวบ้านทำเอง อาจถูกมองว่าทำให้เกิดความสับสนด้านข้อมูลหรือไม่ เพราะผลการตรวจอาจไม่ตรงกับของหน่วยงานราชการ นักวิจัยอิสระผู้นี้กล่าวว่า การดำเนินการแบบนี้ช่วยลดความสับสนและลดข้อห่วงกังวลของชาวบ้าน โดยการตรวจภาคสนามเป็นการคัดกรองเบื้องต้น ลักษณะเดียวกับการตรวจเชื้อโควิด ที่ใช้ชุด ATK หากผลปรากฏขีดแดง 2 ขีด ชาวบ้านก็รู้ว่าจะใช้บริการอื่นอย่างไร เช่นเดียวกันเมื่อฝึกให้ชาวบ้านสามารถใช้ Test Kit หรือชุดคัดกรอง หากพบค่าสารโลหะหนักเกินมาตรฐานก็เก็บตัวอย่างส่งตรวจในห้องแลบต่อไป
“การทำแบบนี้เท่ากับเป็นการช่วยแบ่งเบาภาระให้ภาครัฐ เพราะรู้กันดีว่าระบบราชการมีเจ้าหน้าที่ไม่เพียงพอ และนำตัวอย่างไปตรวจในห้องแลบเลยก็มีราคาแพง แต่หากมีผลตรวจเบื้องต้นเท่ากับชี้เป้าให้ส่วนราชการ ทำให้เกิดความแม่นยำมากขึ้น ซึ่งในต่างประเทศก็ใช้วิธีการเช่นนี้ เราอยากเปลี่ยนวิธีคิดเรื่องเฝ้าระวัง จากราชการมาเป็นชาวบ้านและให้พวกเขาพึ่งตนเองได้ และรู้เท่าทัน”น.ส.สมพร กล่าว
นายสมพงษ์ พนาสง่าวงศ์ ผู้ใหญ่บ้านแคววัวดำ กล่าวว่า หมู่บ้านแคววัวดำมีประชากรประมาณ 700 คน ทุกคนต่างมีความกังวลเรื่องสารพิษในแม่น้ำกก และเมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม ที่ผ่านมาเมื่อแม่น้ำกกสูงขึ้น ชาวบ้านที่อยู่ริมแม่น้ำได้อพยพขนย้ายไปอยู่บนดอย โดยขณะนี้ไม่มีใครกล้ากินปลาจากแม่น้ำกก รวมถึงพืชผักริมแม่น้ำกก
“เราอยากให้มีการอบรมเช่นนี้ เพราะจะได้รู้กันทั่วถึงโดยเฉพาะคนที่อยู่ติดกับแม่น้ำ ชาวบ้านอยากตรวจได้เองเพราะได้รู้เท่าทัน ตอนนี้ส่วนใหญ่ใช้น้ำจากประปาภูเขา แต่ไม่รู้ฤดูแล้งจะมีน้ำให้ใช้อีกหรือไม่ ที่ผ่านมาเราแก้ปัญหาด้วยการไปซื้อน้ำขวดจากในเมืองมากิน เมื่อก่อนบางส่วนเคยใช้น้ำจากบ่อบาดาล แต่เมื่อเกิดน้ำท่วมใหญ่เมื่อปีก่อนและท่วมบ่อบาดาลด้วย เลยไม่มีใครกล้าใช้” ผู้ใหญ่บ้านแคววัวดำ กล่าว
นายสมพงษ์กล่าวว่า สารโลหะหนักในแม่น้ำเป็นเรื่องสำคัญเพราะเกี่ยวข้องกับสุขภาพโดยตรงของชาวบ้าน ดังนั้นหากชาวบ้านสามารถตรวจสอบได้เองก็สามารถป้องกันตัวได้ อย่างน้อยก็ได้ตรวจเบื้องต้นกันไว้ก่อนก็ยังดี ถ้าพบเกินค่ามาตรฐานก็ส่งตรวจต่อไป
“ทุกวันนี้ชาวบ้านต่างเครียดเพราะต้องเฝ้าระวังอย่างเดียว ไหนจะกลัวน้ำท่วม ไหนจะกลัวสารพิษในแม่น้ำอีก ถ้าน้ำขึ้นก็ต้องรีบอพยพมาอยู่กันที่โบสถ์บนดอย”ผู้ใหญ่บ้านแคววัวดำ กล่าว
วันเดียวกันนายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เปิดเผยผลการประชุมคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำในแหล่งน้ำผิวดิน ครั้งที่ 2/2568 ว่าที่ประชุมมีมติเห็นชอบมาตรการแก้ไขปัญหาการปนเปื้อนเกินค่ามาตรฐานในแม่น้ำกกและลำน้ำสาขา แม่น้ำสาย และแม่น้ำโขง ดังนี้
1.สถานการณ์และแนวโน้มปัญหาการปนเปื้อนสารในแหล่งน้ำและตะกอนดิน ยังมีแนวโน้มที่ทรงตัวตัวไม่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมากนัก ผลการติดตามตรวจสอบคุณภาพน้ำและตะกอนดินโดยกรมควบคุมมลพิษยังพบค่าสารหนูเกินมาตรฐานที่กำหนดในหลายจุด ขณะที่ผลการตรวจคุณภาพน้ำประปา สัตว์น้ำ พืชผลทางการเกษตร รวมทั้งการตรวจปัสสาวะประชาชนในพื้นที่ ยังไม่เกินเกณฑ์ค่ามาตรฐาน
2. ที่ผ่านมาได้จัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการส่วนหน้าที่มีรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยเป็นหัวหน้าศูนย์ เร่งแก้ไขปัญหาต่อเนื่อง ประสานงานระหว่างจังหวัดและส่วนกลาง เฝ้าระวัง ให้ความช่วยเหลือ และประชาสัมพันธ์ให้ทราบข่าวที่ไม่คลาดเคลื่อน
3. การแก้ไขปัญหาเชิงรุก เร่งรัดให้ออกแบบก่อสร้างระบบดักตะกอนตามแนวทางในการใช้ธรรมชาติช่วยกระบวนการตกตะกอน เพื่อให้เริ่มก่อสร้างในช่วงต้นฤดูแล้ง ปี 2568 ลดการปนเปื้อนของสารในแหล่งน้ำและตะกอนดิน โดยจะนำผลการออกแบบไปรับฟังความคิดเห็นผู้ที่ได้รับผลกระทบในพื้นที่ คาดว่าจะนำแบบก่อสร้างฝายดักตะกอนเสนอ ครม. พิจารณาให้ความเห็นชอบช่วงปลายเดือนสิงหาคม 2568
4. ด้านความร่วมมือระหว่างประเทศ ที่ผ่านมาประเทศสมาชิกคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (MRC) ได้แก่ ไทย สปป.ลาว กัมพูชา และเวียดนาม รวมถึงสำนักงานเลขาธิการคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (MRCS) ประชุมติดตามการตรวจสอบคุณภาพน้ำ และลงพื้นที่ร่วมกันที่ จ.เชียงราย
นายประเสริฐ กล่าวว่า จะมีการตั้งคณะสำรวจร่วมระหว่างไทย-เมียนมา เพื่อตรวจสอบข้อมูลและหามาตรการป้องกันและบรรเทาปัญหาการปนเปื้อนในแม่น้ำ โดยมี MRC ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการดำเนินการ รวมทั้งได้มีการหารือระหว่างผู้เชี่ยวชาญไทยและเมียนมาที่กรุงเนปิดอว์ เมียนมา โดยทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องว่า การสำรวจพื้นที่ร่วมกันจะเป็นจุดเริ่มต้นของการแก้ไขปัญหาอย่างเหมาะสม โดยกระทรวงการต่างประเทศ ได้นัดหมายให้ตนเองหารือร่วมกับรัฐบาลเมียนมาช่วงปลายเดือนสิงหาคม 2568
——–