
เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2568 ซึ่งเป็นวันสุดท้ายที่ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมในค่ายผู้ลี้ภัย(ศูนย์พักพิงชั่วคราว) 9 แห่งบริเวณชายแดนไทย-พม่า จะต้องยุติภายหลังจากที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐอเมริกา สั่งตัดงบประมาณทำให้องค์กรสาธารณกุศลระหว่างประเทศคือ TBC (The Border Consortium) และ IRC (International Rescue Committee) ที่ให้การสนับสนุนงบประมาณในค่ายผู้ลี้ภัยต้องยุติความช่วยเหลือในสิ้นเดือนกรกฎาคมนี้ ส่งผลให้ผู้ลี้ภัยไม่ต่ำกว่า 100,000 คนกำลังจะขาดแคลนอาหาร และเกิดปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัยรวมถึงปัญหาด้านสุขภาพ อย่างไรก็ตามจนถึงขณะนี้ยังไม่มีมาตรการความชัดเจนใดๆจากรัฐบาลออกมา เพียงแต่มีผลการประชุมของคณะอนุกรรมการในสภาความมั่นคงแห่งชาติ(สมช.)ที่ส่งข้อเสนอให้นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยพิจารณาแต่ยังไม่ได้รับความเห็นชอบ
ทั้งนี้แนวทางของ อนุกรรมการ สมช.ประกอบด้วย 1. มาตรการเฉพาะหน้า (ส.ค. – ก.ย. 68) : ประเด็นเร่งด่วนคือเรื่องการจัดหางบประมาณในช่วยเหลือผู้ลี้ภัย โดยพิจารณาหน่วยงานรับบริจาค เช่น การดำเนินการผ่านสภากาชาดไทย และจากภาคส่วนต่าง ๆ รวมถึง NGOs ของไทย หากจำเป็นต้องขอใช้งบประมาณรายจ่ายกลาง ให้ มท. และ สธ. กำหนดรายละเอียดที่จำเป็นต้องใช้
2. มาตรการระยะกลาง (ต.ค. 68 – มี.ค. 69) ให้ผู้ลี้ภัย ทำงานภายในพื้นที่พักพิงชั่วคราวฯโดย มท. และ ปค. สำรวจความต้องการประกอบอาชีพของ และการอนุญาตให้ออกมาทำงานนอกพื้นที่พักพิงชั่วคราว เพื่อให้เกิดการพึ่งพาตนเองผ่านการจ้างงานอย่างถูกกฎหมาย รวมถึงการสนับสนุนการเดินทางกลับโดยสมัครใจ
3. มาตรการระยะยาว (เม.ย. – ธ.ค. 69) การผลักดันให้เกิดการแก้ปัญหาผู้ลี้ภัย โดยเน้นการแสวงความร่วมมือระหว่างประเทศ รวมทั้งการติดตาม กำกับดูแล เพื่อป้องกันอาชญากรรม และการดำเนินการกฎหมายต่อผู้กระทำผิดอย่างเคร่งครัด
นายมานพ คีรีภูวดล สส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาชน และกรรมาธิการ(กมธ.)ความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร กล่าวว่าได้เห็นมติการแก้ไขปัญหาของ สมช. แล้ว การที่ไม่ให้ผู้ลี้ภัยออกไปทำงานนอกค่ายกำหนดให้เป็นวาระเร่งด่วน เข้าใจว่าเพราะไม่ทำให้เป็นเรื่องด่วนมีรายงานว่าฐานข้อมูลตัวเลขผู้ลี้ภัยในค่ายมีมากกว่าที่เคยยลงทะเบียนกับ มท. ทำให้ราชการกลัวว่าจะมีกลุ่มแอบแฝงหรือไม่ จึงต้องคัดกรองและกำหนดให้เป็นระยะกลาง
ผู้สื่อข่าวถามว่าในวันที่ 1 สิงหาคม ความช่วยเหลือในค่ายผู้ลี้ภัยจะยุติแล้ว มาตรการต่างๆที่ออกมาจะทันการณ์หรือไม่ นายมานพกล่าวว่า ขณะนี้สถานการณ์ชายแดนด้านตะวันออกทำให้ค่ายผู้ลี้ภัยถูกลดความสำคัญจากผู้บริหารประเทศลงทั้งๆที่เป็นปัญหาใหญ่เช่นกัน อย่างไรก็ตามอยากเสนอให้จังหวัดต่างๆที่มีค่ายผู้ลี้ภัยนำเอาหลักการของสมช.ไปพิจารณาได้เลยในทันทีเพราะเป็นปัญหาเร่งด่วน เช่น การไปเป็นแรงงานภาคเกษตร หรือการเตรียมความพร้อมอยู่กับสังคมไทย
แหล่งข่าวจากค่ายผู้ลี้ภัยเปิดเผยว่า ขณะนี้มีบางจังหวัดพร้อมที่จะให้ผู้ลี้ภัยออกมาทำงานนอกค่ายพักพิงชั่วคราว แต่เนื่องจากยังไม่ได้รับคำสั่งจากกระทรวงมหาดไทยและ สมช.จึงทำให้ไม่สามารถดำเนินได้ ขณะเดียวกันผู้ลี้ภัยจำนวนไม่น้อยต่างออกมาทำงานด้านนอกอยู่แล้วเพราะต้องการหาเงินเก็บไว้ซื้ออาหาร โดยยอมจ่ายค่าหัวคิวให้กับเจ้าหน้าที่เพื่อขออนุญาตออกมานอกค่าย และบางส่วนมีนายหน้ามารับถึงบริเวณด้านหน้า อย่างไรก็ตามขณะนี้ในหลายพื้นที่ใกล้ค่ายผู้ลี้ภัยได้มีเจ้าหน้าที่ตำรวจคอยตั้งด่านถี่ขึ้น ซึ่งเมื่อผู้ลี้ภัยถูกจับต้องจ่ายใต้ดินให้หัวละ 3,000-5,000 บาท
ขณะที่ผู้ลี้ภัยในค่ายแห่งหนึ่งกล่าวว่า ได้รับแจ้งล่วงหน้าหลายเดือนถึงการปรับลดความช่วยเหลือในด้านต่าง ๆ อย่างมีนัยสำคัญ ทำให้เกิดความวิตกกังวลอย่างแพร่หลายในหมู่ผู้อยู่อาศัย เนื่องจากชุมชนในค่ายพึ่งพาความช่วยเหลือจาก NGO เหล่านี้ ทั้งในเรื่องอาหาร และบริการด้านสุขภาพ การปรับลดอย่างฉับพลันครั้งนี้ ทำให้หลายครอบครัวไม่แน่ใจว่าจะดำรงชีวิตต่อไปได้อย่างไรในช่วงสัปดาห์ข้างหน้า
“จากการพูดคุยกับหลายๆคน พบว่าพวกเราจำนวนไม่น้อยเตรียมออกจากค่ายเพื่อหางานทำในเมืองหรือชุมชนใกล้เคียง แม้มีความเสี่ยงสูง เพราะผู้ลี้ภัยส่วนใหญ่ไม่มีบัตรประจำตัวประชาชนหรือเอกสารรับรองทางกฎหมายในประเทศไทย หากถูกจับกุม อาจถูกกักขังหรือถูกแสวงหาประโยชน์”ผู้ลี้ภัยรายนี้ กล่าว
ผู้ลี้ภัยรายนี้กล่าวว่า ตอนนี้ทุกคนในค่ายฯต่างมีแรงกดดันสูง ดังนั้นจึงเริ่มมีการพูดถึงการเดินขบวนอย่างสงบ เพื่อเรียกร้องความสนใจจากรัฐบาลไทยและประชาคมระหว่างประเทศ อย่างไรก็ตามล่าสุดในวันเดียวกันนี้ผู้นำค่ายได้ออกแถลงการณ์สาธารณะ ขอให้ผู้อยู่อาศัยมีความสงบและสามัคคี พร้อมแจ้งว่าอยู่ระหว่างการหารือกับหน่วยงานท้องถิ่นและพันธมิตร เพื่อหาทางแก้ไขร่วมกัน พร้อมทั้งเน้นย้ำ ไม่ควรออกจากค่ายไปทำงานโดยไม่มีเอกสารถูกต้องตามกฎหมาย เนื่องจากมีความเสี่ยงสูง
นอกจากนี้ฝ่ายสุขาภิบาลสิ่งแวดล้อมซึ่งถูกปรับลดงบประมาณ ผู้นำค่ายได้เรียกร้องให้ทุกคนร่วมกันดูแลรักษาความสะอาด โดยเน้นย้ำแนวทาง “5Rs” ได้แก่ปฏิเสธ (Refuse), ลดการใช้ (Reduce), ใช้ซ้ำ (Reuse), ดัดแปลงใช้ใหม่ (Repurpose), และรีไซเคิล (Recycle)
“ช่วงเวลาหลายสัปดาห์ข้างหน้านี้ ถือเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของคนในค่าย ขณะที่ทุกคนกำลังเฝ้ารอข่าวสารและความคืบหน้า และต้องเตรียมรับมือกับความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่อาจส่งผลต่อชีวิตในระยะยาว”ผู้ลี้ภัยรายนี้ กล่าว
————