นายพัศพงศ์ ใจคล่องแคล่ว ผู้บัญชาเรือนจำกลางเชียงราย ได้กล่าวชี้แจงต่อที่ประชุมรับฟังความคิดเห็นซึ่งจัดโดยคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ(กสม.)ซึ่งนำโดย น.ส.ศยามล ไกยูรวงศ์ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ณ มหาวิทยาลัยราชภัฎเชียงราย อ.เมือง จ.เชียงราย เมื่อวันที่ 8 สิงหาคมที่ผ่านมาถึงกรณีที่มีข่าวว่านักโทษในเรือนจำต้องใช้น้ำปนเปื้อนสารโลหะหนักเกินค่ามาตรฐาน ว่าทางเรือนจำมีผู้ต้องขังกว่า 4,000 คนโดยได้เริ่มตรวจสอบคุณภาพน้ำมาตั้งแต่มีข่าวว่ามีสารหนูปนเปื้อนในแม่น้ำกกโดยทำหนังสือถึงศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ให้ช่วยตรวจสอบ และเมื่อตรวจพบทางเรือนจำจึงแก้ปัญหาน้ำดื่มด้วยการซื้อน้ำจากการประปาส่วนภูมิภาคจังหวัดเชียงรายมาใช้จนถึงปัจจุบันสัปดาห์ละ 3 วันโดยขอรับการสนับสนุนรถบรรทุกน้ำของเทศบาลดอยฮาง ส่วนน้ำอาบยังใช้น้ำที่ทางเรือนจำผลิตเอง
นายพัศพงศ์กล่าวว่า น้ำที่ทางเรือนจำผลิตตรวจพบสารตะกั่วบางจุด 0.018 mg/L บางจุด 0.023 mg/L (มาตรฐานของกรมอนามัยอยู่ที่ 0.01 mg/L) ขณะที่สารหนูพบว่าไม่เกินมาตรฐาน ดังนั้นการใช้น้ำอาบและซักผ้าจึงยังไม่เป็นอันตรายแต่อย่างใด แม้แตเจ้าหน้าที่ก็ใช้น้ำนี้ด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ทางเรือนจำได้สุ่มตัวอย่างตรวจโรคผู้ต้องขังสำหรับผู้ที่อยู่มา 3 ปี 5ปี และ 10 ปี ผลออกมาทุกคนยังเป็นปกติ นอกจากนี้ยังมีสุ่มตรวจปลาเลี้ยงและผักซึ่งใช้น้ำที่เรือนจำผลิตซึ่งพบว่ายังไม่มีอะไรผิดปกติ
ผู้บัญชาการเรือนจำกลางเชียงรายกล่าวว่า การแก้ปัญหาน้ำดื่มของเรือนจำได้รับงบประมาณติดตั้งเครื่องผลิตน้ำซึ่งหากดำเนินการติดตั้งเสร็จสิ้นก็น่าจะเพียงพอสำหรับน้ำดื่ม ส่วนการแก้ปัญหาระยะยาว อยากให้มีการขยายเขตประปามาให้ถึงเรือนจำโดยได้ทำหนังสือส่งไปแล้ว โดยการประปาภูมิภาคบอกว่าหากกรมราชทัณฑ์ได้รับงบประมาณก็จะดำเนินการให้ ซึ่งตนได้หารือกับอธิบดีกรมราชทัณฑ์แล้วแต่กรมราชทัณฑ์ยังไม่มีงบประมาณซึ่งจริงๆแล้วน่าจะเป็นงบประมาณของการประปาภูมิภาคเพราะบริเวณนี้ไม่ใช่มีแต่เรือนจำเท่านั้น แต่ยังมีประชาชนในพื้นที่ซึ่งจะได้รับประโยชน์ด้วย
“การดูแลผู้ต้องขังทุกวันนี้ เราสามารถแก้ไขปัญหาได้ระดับหนึ่ง ส่วนในอนาคตอยากฝากให้การประปาภูมิภาคได้ขยายมาถึงเพื่อให้พวกเราได้มีน้ำใช้”นายพัศพงศ์
ทั้งนี้ตัวแทนการประปาภูมิภาค(กปภ.)กล่าวว่า ได้รับเรื่องร้องเรียนกรณีให้ขยายประปาไปถึงเรือนจำดอยฮางแล้ว โดยใช้งบประมาณราว 18 ล้านบาท ขณะที่ตัวแทนจังหวัดแจ้งว่า การจัดตั้งงบประมาณในปีล่าสุดได้ผ่านไปแล้ว จึงไม่น่าจะตั้งงบประมาณได้ทัน หากต้องใช้จริงๆอาจต้องของบประมาณกลาง