Search

เตรียมผ่อนปรนให้ผู้ลี้ภัย 4.2 หมื่นคนใน 9 ค่ายชายแดนไทย-พม่าออกมาทำงานได้ อธิบดีกรมการจัดหางานเผยรอผ่านสมช.-ใช้ประกาศมท.-รง.รองรับ- นักเรียนในค่ายเครียดหลังครอบครัวถูกตัดงบ-เตรียมลาออกหางานทำ

เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2568 นายสมชาย มรกตศรีวรรณ อธิบดีกรมการจัดหางาน ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่นายพงศ์กวิน จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ระบุว่าจะนำแรงงานจากกลุ่มผู้อพยพ 4.2 หมื่นคนมาทดแทนแรงงานกัมพูชาว่า แรงงานกลุ่มนี้ไม่ใช่เป็นแรงงานนำเข้าแต่เป็นผู้หลบหนีภัยสงครามที่อยู่ประเทศไทยมา 40 ปีซึ่งตามศูนย์พักพิงชั่วคราว 9 แห่งแนวชายแดน โดยมีกำลังแรงงานอยู่ประมาณ 4.2 หมื่นคนซึ่งจะนำมาทดแทนแรงงานกัมพูชาโดยต้องออกประกาศของกระทรวงมหาดไทยและประกาศของกระทรวงแรงงานรองรับเพื่อให้แรงงานกลุ่มนี้ออกมาหางานทำภายนอกได้ อย่างไรก็ตามต้องผ่านขั้นตอนของสภาความมั่นคงแห่งชาติก่อน

นายสมชายกล่าวว่า จริงๆแล้วมีผู้หนีภัยในศูนย์กว่า 7 หมื่นคน แต่เป็นกำลังแรงงานเพียง 4.2 หมื่นคน ส่วนการสำรวจเรื่องความถนัดนั้น เป็นขั้นตอนต่อไป หากไม่ติดขัดอะไรก็ต้องเอาความต้องการนายจ้างมาประกอบด้วย

ด้านนายอดิศร เกิดมงคล ผู้ประสานงานเครือข่ายองค์กรด้านประชากรข้ามชาติกล่าวว่า ยังไม่ทราบในรายละเอียดจึงไม่รู้ว่าเป็นการอนุญาตทำงานในลักษณะใด จะเหมือนการนำเข้าแรงงาน 4 สัญชาติ หรือเหมือนการอนุญาตให้ชนกลุ่มน้อยทำงาน และกิจการที่ทำได้เป็นอย่างไร โดยขณะนี้ภายในค่ายผู้ลี้ภัยเริ่มมีการสำรวจความถนัดของผู้ที่อยู่ในนั้น

นายอดิศรกล่าวว่า เห็นด้วยที่อนุญาตให้ผู้ลี้ภัยในค่ายพักพิงได้ออกมาทำงานภายนอก เพราะที่ผ่านมาการกักไว้ทำลายศักยภาพของคนเหล่านี้ ยิ่งในปัจจุบันองค์กรสาธารณะกุศลได้ตัดงบความช่วยเหลือ จึงควรหาวิธีให้พวกเขาได้มีรายได้เลี้ยงตัวเองและครอบครัว โดยคนในค่ายผู้ลี้ภัยแบ่งเป็น 2 กลุ่มคือ คนที่สามารถดูแลตัวเองได้และกลุ่มเปราะบาง เช่น ผู้สูงอายุ ผู้ป่วย โดยคนกลุ่มแรกควรให้เขาได้ใช้ศักยภาพอย่างเต็มที่ ส่วนกลุ่มเปราะบางที่ต้องรับความช่วยเหลือนั้น ในเบื้องต้นยังมีความช่วยเหลือจากภายนอกให้อยู่แต่เป็นเพียงชั่วคราว ดังนั้นในระยะยาวคือให้กลุ่มที่เป็นกำลังแรงงานได้ออกมาทำงานเพื่อเลี้ยงดูครอบครัวซึ่งเป็นกลุ่มเปราะบางโดยเปลี่ยนผ่านจากผู้ลี้ภัยมาเป็นแรงงาน ซึ่งต้องปรับสถานะใหม่ไม่ใช่ผู้ลี้ภัยแล้วมีทั้งข้อดีและเสีย เพราะหากไม่ใช่ผู้ลี้ภัยก็ไม่ได้รับความคุ้มครองและหากมีประเทศที่ 3 เปิดรับไปตั้งถิ่นฐานยังสามารถไปได้หรือไม่

ผู้สื่อข่าวถามว่าการให้คนกว่า 4 หมื่นออกมาทำงานจะกลายเป็นช่องทางหากินของพวกนักค้ามนุษย์หรือไม่ นายอดิศรกล่าวว่า รัฐบาลต้องวางแนวปฎิบัติให้ชัดเจน เช่น  ใครเป็นคนจัดการ หากเป็นนายจ้างดำเนินการแทนก็ต้องล็อคเงื่อนไขต่างๆไว้ ขณะที่ตนได้เสนอให้ตัวผู้ลี้ภัยหานายจ้างเองก่อน แล้วให้นายจ้างยื่นขออนุญาตเพื่อขอออกนอกพื้นที่ ซึ่งสะดวกกับทั้งสองฝ่าย เพราะหากล็อคว่าต้องมีนายจ้างก่อน ก็จะทำให้นายหน้าใช้ช่องทางนี้หาประโยชน์ ดังนั้นทั้งกระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน และสภาความมั่นคงต้องทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด

แหล่งข่าวจากค่ายผู้ลี้ภัยเปิดเผยว่า ภายหลังจากที่ TBC (The Border Consortium) และ IRC (International Rescue Committee) 2 องค์กรระหว่างประเทศตัดความช่วยเหลือด้านอาหารและสุขภาพตั้งแต่สิ้นเดือนกรกฎาคมเป็นต้นมา ทำให้ผู้ลี้ภัยภายในค่ายต่างมีอาการเครียด แม้ว่าในเดือนสิงหาคมซึ่งเป็นเดือนแรกที่ถูกระงับความช่วยเหลือจะยังพอมีเงินเก็บซื้ออาหาร แต่ในเดือนต่อๆไปก็ไม่รู้จะหารายได้จากที่ไหน แม้ว่ากระลักลอบออกไปหางานทำนอกค่ายจะเป็นเรื่องปกติ แต่ก็ต้องหลบหลีกเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยเฉพาะตั้งแต่มีข่าวว่าจะมีการระงับความช่วยเหลือ ปรากฏว่าบริเวณเส้นทางสู่ค่ายผู้ลี้ภัยบางแห่งได้มีเจ้าหน้าที่ตำรวจตั้งด่านเข้มงวดมากขึ้น

แหล่งข่าวกล่าวว่า ล่าสุดที่อำเภอสบเมยได้มีการประชุมหน่วยงานต่างๆเพื่อช่วยเหลือผู้ลี้ภัยในค่ายแม่ลามาหลวง และแม่ละอูน ซึ่งผู้แทนตำรวจรายงานว่า ในช่วงเดือนที่ผ่านมาสามารถจับกุมผู้ลี้ภัยที่ลักลอบออกมาทำงานได้กว่า 100 คน บางส่วนเมื่อปรับแล้วก็ส่งกลับค่าย แต่บางรายถูกตั้งข้อหาเป็นผู้นำพาจึงต้องติดคุก

“ที่น่าห่วงคือพวกเด็กๆ เพราะได้รับแรงกดดันจากการถูกตัดงบความช่วยเหลือไปด้วย เพราะครอบครัวไม่มีรายได้ ทำให้บางส่วนต้องออกจากการเรียนเพื่อออกไปหารายได้ช่วยเหลือครอบครัว”แหล่งข่าว กล่าว

————–

On Key

Related Posts

เร่งแก้ไขน้ำประปาปนเปื้อน 18 หมู่บ้าน นายก อบจ.เชียงรายเผยระบบไม่ได้มาตรฐาน-เตรียมปรับปรุงเพิ่ม-คพ.ส่งทีมตรวจลงพื้นที่ตรวจสอบทั้งหมด-เบื้องต้น 3 หมู่บ้านไม่พบสารโลหะหนัก-สำรวจหาแหล่งน้ำสะอาดแห่งใหม่