เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2568 นาย Leon de Riedmatten ผู้อำนวยการบริหาร TBC (The Border Consortium) ให้สัมภาษณ์สำนักข่าวชายขอบ กรณีที่คณะรัฐมนตรีมีมติให้ผู้ลี้ภัยสามารถออกมาทำงานได้ ว่าเป็น ข่าวดีมากๆ เพราะได้มีการร้องขอในเรื่องนี้มานานแล้ว โดยเฉพาะหลังจากสหรัฐตัดความช่วยเหลือ ซึ่งต้องมีทางออกให้ผู้ลี้ภัย และมติที่ให้ออกไปทำงานข้างนอกได้นั้นจะสามารถช่วยแก้ปัญหาได้เป็นอย่างมาก เพื่อให้ผู้ลี้ภัยสามารถมีชีวิตที่เป็นอิสระ สามารถมีรายได้ที่เลี้ยงชีวิตได้ เลี้ยงครอบครัวได้
นาย Leon de Riedmatten กล่าวว่า สภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) และกระทรวงที่เกี่ยวข้อง ได้มีการเตรียมเรื่องนี้ บอกได้ว่าต้นเดือนหน้าจะเป็นการเริ่มกระบวนการใหม่ ส่วนที่ผู้ลี้ภัยสงสัยว่าคนที่รอจะไปประเทศที่สามยังคงมีสิทธินั้น ตนคิดว่าหากลงชื่อแล้วชื่อก็อยู่ในระบบและมีการเปิดรับก็ไปได้ ไม่กระทบสิทธิแต่อย่างใด
นาย Leon กล่าวว่านี่เป็นส่วนหนึ่งของปัญหาใหญ่ แต่ก็ยังมีกลุ่มที่ไม่สามารถออกไปทำงานได้ โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางที่องค์กรเรายังต้องดูแล และยังต้องการทุนสนับสนุนหลังจากปีนี้ สำหรับผู้ลี้ภัยที่ยังอาศัยอยู่ในค่ายยังต้องมีการพัฒนาต่างๆ สร้างอาชีพในค่าย เรายังให้การช่วยเหลือ มีให้ข้าวสารและอาหารทุกเดือน ซึ่งงบประมาณการเงินยังพอสนับสนุนไปได้ถึงสิ้นปี 2568และตอนนี้พยายามหาแหล่งทุนให้มาบริจาคต่อไป
“สำหรับผู้ลี้ภัยที่อยู่ในค่ายก็ยังจะมีการดูแล ส่วนผู้ที่ไม่สามารถออกไปทำงานได้ เรามีโปรแกรมสร้างอาชีพสร้างรายได้ ที่สำคัญคือผู้ลี้ภัยยังคงสามารถไปประเทศที่สามได้ ขณะเดียวกันผู้ลี้ภัยที่ออกไปทำงานข้างนอก เราจะพยายามติดตาม ทุกคนจะมีเอกสารตามกฎหมาย ต่ออายุได้ทุกปี เราหารือกันแล้ววันนี้พบว่ากระบวนการดูดีมากและมีความหวัง” ผู้อำนวยการบริหาร TBC
ผู้สื่อข่าวถามว่ามีความกังวลว่าการนำผู้ลี้ภัยออกไปทำงานข้างนอกจะต้องเสียค่าหัวคิวให้กับคนบางกลุ่มสูง Leon กล่าวว่า “คนที่ทำงานต้องได้รับค่าจ้างขั้นต่ำ ต้องไม่ถูกขูดรีดแรงงาน และป้องกันว่าเมื่อออกไปทำงานแล้วต้องไม่กระทบภาพจน์ของผู้ลี้ภัย เราจะติดตามต่อเนื่อง”
วันเดียวกันคณะกรรมการประสานงานองค์การช่วยเหลือผู้ลี้ภัยในประเทศไทย หรือ กปชล. (Committee for Coordination of Services to Displace Person in Thailand -CCSDPT) ได้ออกแถลงการณ์แสดงความชื่นชมและสนับสนุนมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2568 ว่าด้วยการจัดการผู้หนีภัยการสู้รบในเมียนมา ซึ่งจะช่วยบรรเทาวิกฤตการขาดแคลนงบประมาณด้านมนุษยธรรมทั่วโลก และเป็นการวางรากฐานสู่แนวทางแก้ไขปัญหาที่มั่นคงและยั่งยืนสำหรับประชากรผู้หนีภัยการสู้รบตามแนวชายแดนไทย-เมียนมาตลอดกว่าสี่ทศวรรษที่ผ่านมา
“ประเทศไทยได้ทำหน้าที่เป็นที่พักพิงอันปลอดภัยสำหรับผู้ที่หนีภัยการสู้รบจากความขัดแย้งในเมียนมา การเปลี่ยนผ่านครั้งนี้จึงนับเป็นจุดเริ่มต้นของยุคใหม่ การเปิดโอกาสให้ผู้หนี้ภัยสามารถทำงานได้ ไม่เพียงจะช่วยแบ่งเบาภาระด้านความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมเท่านั้น แต่ยังเอื้อให้ผู้หนีภัยและครอบครัวจำนวนมากสามารถก้าวสู่การอยู่ร่วมในสังคมไทยอย่างมีศักดิ์ศรี”
ด้านผู้ลี้ภัยรายหนึ่งในศูนย์พักพิงชั่วคราวจังหวัดแม่ฮ่องสอนเปิดเผยว่า เขาทำหน้าที่เป็นครูอยู่ในศูนย์แห่งนี้มาหลายปี การที่ทางการไทยเปิดโอกาสให้ผู้ลี้ภัยออกไปทำงานด้านนอกได้นั้น แม้เป็นเรื่องที่ดี แต่อีกมุมหนึ่งก็มีความเสี่ยงเพราะถ้าผู้คนจำนวนมากรู้ว่าผู้ลี้ภัยสามารถออกไปข้างนอกได้อย่างถูกกฎหมาย อาจทำให้ไม่มีครูเหลืออยู่ในศูนย์ หรือไม่มีเจ้าหน้าที่ที่ทำงานอยู่ในองค์กรของชุมชนอีกต่อไป เนื่องจากภายนอกค่ายมีรายได้และค่าตอบแทนสูงกว่าอย่างแน่นอน
ผู้ลี้ภัยที่เป็นครูรายนี้เสนอว่า ควรหาวิธีเก็บภาษีเล็กน้อยจากผู้ที่ออกไปทำงานข้างนอก เพื่อนำกลับมาพัฒนาค่ายผู้ลี้ภัย เพราะหากไม่หาวิธีแก้ไขหรือหาทางออกใด ๆ อาจทำให้ค่ายต้องเผชิญกับความยากลำบากมากขึ้น โดยเฉพาะกับนักเรียนหรือเด็ก ๆ ในค่าย ที่อาจไม่ตั้งใจเรียนเหมือนเดิม เพราะรู้ว่าพอถึงอายุ 18 ปี ก็สามารถออกไปทำงานข้างนอกได้แล้ว
“รู้สึกกังวลว่าผู้ลี้ภัยอาจถูกเลือกปฏิบัติ หากออกไปข้างนอก เพราะจากสิ่งที่เขาเห็นในข่าว เมื่อรัฐบาลไทยประกาศว่าจะอนุญาตให้ผู้ลี้ภัยออกไปข้างนอกได้ตามกฎหมาย คนไทยจำนวนหนึ่งกลับมองผู้ลี้ภัยว่าเป็นคนพม่า ทั้งที่พวกเราเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่ถูกพม่ารุกราน”เขากล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ผู้ลี้ภัยในค่าย 9 แห่งชายแดนไทยใน 4 จังหวัดภาคตะวันตกและภาคเหนือ ส่วนใหญ่เป็นชาวกะเหรี่ยงและคะเรนนี โดยทั้งสองกลุ่มชาติพันธุ์กำลังต่อสู้กับรัฐบาลทหารพม่าอย่างต่อเนื่องเพราะต้องการอิสรภาพ