
เมื่อวันที่ 8 กันยายน 2568 สำนักข่าว Kantarawaddy Times สื่อของชาวคะเรนนี รายงานว่า ได้มีการจัดพิธีรำลึกครบรอบ 77 ปี วันวีรชนคะเรนนีซึ่งจัดขึ้นที่หมู่บ้านญามอ หรือ ตาเลดู่โซ ในเขตควบคุมของกองกำลังคะเรนนี (Karenni Army – KA) ทั้งนี้ภายในงานมีการกล่าวสุนทรพจน์โดย พล.ต.ออง มยัต ผู้บัญชาการทหารสูงสุดของ KA ซึ่งกล่าวระลึกถึง การนำเสนอประวัติศาสตร์ของคะเรนนี พร้อมกับการยืนสงบนิ่งไว้อาลัยแด่วีรชนผู้ล่วงลับ
ทั้งนี้การวางพวงมาลาเพื่อรำลึกถึงนักสู้ผู้เสียสละ ผู้เข้าร่วมงานประกอบด้วย ผู้นำและนายทหารระดับสูงของกองกำลังคะเรนนี เช่น พลโท โบ่น เสนาธิการทหาร รวมถึงผู้บังคับบัญชาหน่วยต่าง ๆ สมาชิกพรรค KNPP (Karenni National Progressive Party-พรรคก้าวหน้าแห่งชาติคะเรนนี) เจ้าหน้าที่จากหน่วยงานบางแห่ง แขกผู้มีเกียรติ ประชาชนในพื้นที่ ตลอดจนเยาวชนและนักเรียน รวมแล้วราว 500 คน




สำนักข่าว Kantarawaddy Times รายงานด้วยว่า กลุ่มสิทธิมนุษยชนคะเรนนี (Karenni Human Rights Group – KnHRG) รายงานว่า มีพลเรือนอย่างน้อย 35 รายถูกสังหารในรัฐคะเรนนี (Karenni State) ตลอดเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา จากการโจมตีของกองทัพเมียนมา โดยพลเรือน 33 รายเสียชีวิตจากการโจมตีทางอากาศ 1รายจากการยิงปืนใหญ่ และอีก 1รายถูกยิงเสียชีวิต รวมเป็นยอดผู้เสียชีวิตทั้งหมด 35 ราย ในจำนวนผู้เสียชีวิตดังกล่าว มีเด็ก 3 ราย ผู้หญิง 8 ราย ผู้ชาย 18 ราย และอีก 6 รายที่ยังไม่สามารถระบุอัตลักษณ์ได้ โดยส่วนใหญ่เสียชีวิตจากการโจมตีทางอากาศ โดยเฉพาะในพื้นที่ Mawchia ในเขตท้องถิ่นผาซอง (Hpasawng Township) ซึ่งมีรายงานว่ามีพลเรือนจำนวนมากเสียชีวิตหรือได้รับบาดเจ็บ
KnHRG ยังระบุว่า ในช่วงเดือนสิงหาคม 2025 เพียงเดือนเดียว กองทัพได้ก่อเหตุละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างน้อย 25 ครั้งในหลายเขต ได้แก่ ลอยก่อ ดีมอซ่อ บ่อแหล่ ปรูโซ และเปะก่ง ซึ่งรวมถึงการโจมตีทางอากาศ 9 ครั้ง ยิงปืนใหญ่ 13 ครั้ง เหยียบกับระเบิด 1 ครั้ง การจับกุมโดยพลการ 1 ครั้ง และการยิงสังหารพลเรือนอีก 1 ครั้ง
KnHRG รายงานด้วยว่า สภาบริหารแห่งรัฐ (State Administration Council – SAC) ได้เปิดปฏิบัติการทางทหารอย่างต่อเนื่องเพื่อยึดครองเขตต่าง ๆ เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการเลือกตั้ง ส่งผลให้ประชาชนต้องอพยพหลบหนีซ้ำแล้วซ้ำเล่า โดยระหว่างเดือนกรกฎาคมถึงสิงหาคม มีประชาชนอย่างน้อย 200,000 คนกลายเป็นผู้พลัดถิ่นใหม่ สถานการณ์ดังกล่าวทำให้ประชาชนเดือดร้อนและมีความต้องการเร่งด่วนในด้านอาหาร ที่พักอาศัย และความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมอื่น ๆ