Search

กรมการปกครองเต้น “ส่วยสัญชาติ” เผยได้รับแบะแสแล้วที่เชียงใหม่-เชียงราย รองอธิบดีเตรียมลงพื้นที่ ระบุชัดสิ้นเดือน กย.ยังไม่สิ้นสุด-วอนอย่าเชื่อคำกล่าวอ้างนักแสวงประโยชน์

เมื่อวันที่ 16 ก.ย.2568 นายวิฑูรย์ สิรินุกล รองอธิบดีกรมการปกครอง เปิดเผยถึงปัญหาการเรียกเก็บค่าหัวคิวในกระบวนการพัฒนาสถานะบุคคลตามมติคณะรัฐมนตรี 29 ตุลาคม 2567 หรือส่วยสัญชาติ ว่า กรมการปกครองได้รับเบาะแสเช่นเดียวกัน โดยมีการเรียกรับเงินจากผู้มีสิทธิขอสถานะบุคคลและขอสัญชาติตามมติ ครม.โดยเฉพาะในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่และจังหวัดเชียงราย ซึ่งกรมการปกครองไม่ได้นิ่งนอนใจ โดยได้ทำหนังสือเวียนถึงผู้ว่าราชการทุกจังหวัดกำชับไม่ให้มีการเรียกรับผลประโยชน์ และจัดส่งทีมไปตรวจสอบ หากพบการกระทำผิดก็จะดำเนินการตามกฏหมาย

รองอธิบดีกรมการปกครอง กล่าวว่า มติคณะรัฐมนตรี 29 ตุลาคม 2567 แบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือกลุ่มชาติพันธุ์ที่อยู่ในไทยมาเป็นเวลานาน มีการสำรวจก่อนปี 2542 มีจำนวน 3.4 แสนคน จะได้ใบสำคัญถิ่นที่อยู่ถาวร ตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมืองมาตรา 17 แต่ยังไม่ได้สัญชาติ และต้องอยู่อีก 5 ปี จึงจะขอแปลงสัญชาติได้ ส่วนกลุ่มที่ 2 เป็นบุตรที่เกิดในไทยของกลุ่มที่ 1 มีกว่า 1.4 แสนคน จะได้สัญชาติไทย ตาม พ.ร.บ.สัญชาติไทย ตามมาตรา 7 ทวิ โดยทั้งหมดรวม 4.8 แสนคน

“กรมการปกครองได้รับเบาะแสเรื่องการเรียกรับเงินมาด้วย จึงมีหนังสือถึงผู้ว่าราชการทุกจังหวัดไปตั้งแต่ 1 ก.ย.แล้ว และมีหน่วยงานของกรมการปกครอง ดีเอสไอ และ สมช.ร่วมตรวจสอบ ใน 22 กันยายนนี้ผมจะไปเชียงใหม่เพื่อไปตรวจสอบด้วย หากพบเจ้าหน้าที่ไปรับเงิน ต้องทำตามกฏหมาย ผิดก็ว่าไปตามผิด เราชี้แจงตลอดบอกว่าไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ ไม่ว่าจะอ้างไปซื้อคิว หรือการจะมาลัดคิว จะมาเรียกรับค่าใช้จ่ายทำไม่ได้ทั้งนั้น ผมขอตรวจสอบด้วยตัวเองว่าจริงด้วยหรือไม่ ได้ยินทั้งเชียงใหม่ เชียงราย” รองอธิบดีกรมการปกครอง กล่าว

นายวิฑูรย์กล่าวว่า หากผู้ใดมีเบาะแสสามารถแจ้งมาทางกรมการปกครอง สายด่วน 1548 สำนักทะเบียน กรมการปกครอง สายด่วนศูนย์ดำรงธรรม 1567 จะดูแลผู้ให้เบาะแสให้ปลอดภัย โดยมติครม.นี้ ทางสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ หรือ UNHCR ชื่นชมไทยที่ทำเรื่องนี้สำคัญตามแคมเปญ Belong to End Stesslessness จึงไม่ควรมีการฉวยช่องทางหาโอกาส ไม่ควรไปหากินให้กับคนที่ไม่เคยได้สิทธิ ซึ่งเป็นการให้ความเป็นมนุษย์กับคนเหล่านั้น

รองอธิบดีกรมการปกครองกล่าวว่า สำหรับมติ ครม.29 ต.ค.2567 เกิดขึ้นเพื่อให้การดำเนินการให้สถานะคนกลุ่มนี้ทำได้อย่างรวดเร็ว เพราะถ้าทำตามหลักเกณฑ์เดิมใช้เวลา 44 ปี สามารถทำได้ปีละ 11,000 คน จากจำนวนคนกว่า 4.8 แสนคน เพราะตามพรบ.สัญชาติ ตามเกณฑ์ถ้าไม่แก้ไข จะใช้เวลา 180 วัน ต่อคน และ พรบ.เข้าเมือง ต้องใช้เวลา 270 วันต่อคน แต่ตามมติครม.29 ตุลาคม2567 เปลี่ยนเวลามาเหลือ 5 วัน ทำให้จะสามารถดำเนินการให้ทุกคนมีสถานะบุคคลและมีสัญชาติได้แล้วเสร็จภายในปีหน้า อย่างไรก็ตามยังไม่หมดสิทธิในวันที่ 30 กันยายน 2568 ตามที่มีการกล่าวอ้างไปหาประโยชน์ แต่มีเวลาดำเนินการภายใน 1 ปี นับตั้งแต่มีประกาศกระทรวง 28 มิถุนายน 2568 ไปถึง มิถุนายน 2569

———–