ระหว่างวันที่ 19-21 กันยายน 2568 คณะกรรมาธิการ(กมธ.)พัฒนาการเมือง การมีส่วนร่วมของประชาชน สิทธิมนุษยชน เสรีภาพและการคุ้มครองผู้บริโภค วุฒิสภา นำโดยนายนรเศรษฐ์ ปรัชญากร ประธาน กมธ. นส.มณีรัฐ เขมะวงศ์ สว. ลงพื้นที่จังหวัดเชียงรายเพื่อติดตามความคืบหน้าการดำเนินงานตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2567 ที่มีเป้าหมายเพื่อ “เร่งรัด” การแก้ไขปัญหาสัญชาติและสถานะบุคคล โดยมีนายนายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย นายวรายุทธ ค่อมบุญ นายอำเภอแม่สาย และเจ้าหน้าที่ปกครองจังหวัดเชียงราย ร่วมชี้แจงข้อมูล
เจ้าหน้าที่ปกครองจังหวัดเชียงราย กล่าวในที่ประชุมว่า จากข้อมูล ณ วันที่ 18 กันยายน 2568 ในพื้นที่จังหวัดเชียงราย แม้จะมีความคืบหน้าในการรับคำขอจากกลุ่มเป้าหมายไปแล้วถึง 85,580 ราย จากเป้าหมายทั้งหมด 96,210 ราย คิดเป็น 88.95% แต่พบว่าการดำเนินการเร่งรัดการแก้ไขปัญหาสัญชาติและสถานะบุคคลมีข้อติดขัดในลักษณะเป็น “คอขวด” ช่วงกระบวนการการรับรองประวัติจากสถานีตำรวจ พิจารณาอนุมัติและการเพิ่มชื่อเข้าทะเบียนบ้าน ทั้งที่ว่าการอำเภอและสำนักงานทะเบียนท้องถิ่นแต่ละแห่งที่สามารถดำเนินการได้เพียงวันละประมาณ 50 รายต่อสำนักงานทะเบียนท้องถิ่น ส่วนที่ว่าการอำเภอแต่ละอำเภอ โดยเฉพาะอำเภอแม่สาย เชียงแสน แม่ฟ้าหลวง ที่มีผู้ยื่นคำขอมาก ก็ไม่สามารถบริการได้รวดเร็ว เพราะต้องบริการประชาชนที่มาติดต่องานทะเบียนตามปกติด้วย ทำให้ตัวผู้ที่ทำบัตรสำเร็จแล้วเพียง 10,465 ราย เท่านั้น
ทั้งนี้ในที่ประชุมได้มีคำถามถึงข้อน่ากังวลถึงตัวเลขผู้ที่ถูกระบุว่า “ไม่มีคุณสมบัติ/ไม่อยู่ในพื้นที่/ไม่มีตัวตน” มีจำนวนสูงถึง 67,601 ราย กลายเป็นกลุ่มคนที่ “ตกหล่น” ขนาดใหญ่ที่นโยบายปัจจุบัน แต่ยังไม่สามารถให้คำตอบที่ชัดเจนได้ อย่างไรก็ตามเจ้าหน้าที่ปกครองจังหวัด กล่าวว่า ผู้ไม่มีคุณสมบัติ จะมาจากการขาดหลักฐานการเกิดในไทย เอกสารยืนยันตัวตนของบิดามารดาหรือเอกสารอื่นๆ ไม่มีหรือยังไม่ชัดเจน หรือขัดแย้งกันของเอกสารเอง ขณะที่บางบุคคลนั้นไม่อยู่ในพื้นที่ เจ้าหน้าที่ตรวจสอบแล้วไม่พบตัวเพราะไปทำงานที่อื่น และมีบางคนไม่มีตัวตน เป็นกลุ่มที่น่ากังวลเพราะไม่สามารถยืนยันตัวตนของบุคคลได้ แต่ทางราชการยังไม่ตัดสิทธิ โดยนำรายชื่อมาไว้ที่ทะเบียนบ้านกลางก่อน
นายอำเภอแม่สาย กล่าวว่า การมีนโยบายเร่งรัด เป็นการให้อำนาจแต่ไม่มีบุคลากรและเครื่องมือ เหมือน การ”ได้ปืนแต่ไม่ได้ลูกปืน” ซึ่งปัจจุบันขาดแคลนทั้งคนและเครื่องมือ แม้จะมีนโยบายเร่งรัดลงมา แต่ทางอำเภอ และสำนักทะเบียนท้องถิ่นไม่มีความพร้อมด้านบุคลากร เจ้าหน้าที่ทะเบียนต้องทำงานปกติควบคู่ไปกับภารกิจเร่งด่วน จนต้องทำงานล่วงเวลาถึง 3 ทุ่ม และยังต้องทำในวันเสาร์ด้วย แต่ก็ยังไม่เพียงพอ นอกจากนี้ศูนย์บริการเฉพาะกิจที่ตั้งขึ้นแยกจากงานทะเบียนปกติ ยังไม่มีอุปกรณ์ที่จำเป็น เช่น คอมพิวเตอร์และเครื่องสแกน แม้จะมีการจ้างเจ้าหน้าที่ชั่วคราว 10 คนมาช่วย แต่ก็ยังขาดเครื่องมือในการทำงานและสัญญาจ้างจะสิ้นสุดในวันที่ 30 กันยายนนี้ โดยที่งบประมาณสำหรับปีต่อไปยังไม่มีความแน่นอน
นอกจากนี้ระหว่างที่คณะกมธ.ได้ไปรับฟังชาวบ้านที่ อบต.เกาะช้าง อ.แม่สาย ซึ่งมี ร.ต.อ.เด่นวุฒิ จันต๊ะขัติ นายกองค์การบริหารส่วนตำบล(อบต.)เกาะช้าง และประธานกลุ่มไทลื้อ แม่สาย รวมถึงชาวบ้านเข้าร่วมให้ข้อมูล ได้มีการสะท้อนว่าเป็นการเร่งรัด หรือเพิ่มขั้นตอนและภาระให้ประชาชน จากการให้บริการงานทะเบียน ที่ซ้ำซ้อนและรวมศูนย์ ซึ่งมีข้อสังเกตว่า กระบวนการที่ควรจะง่ายและรวดเร็ว กลับกลายเป็นการ “เพิ่มภาระ” เช่น การไม่นำระบบดิจิทัลมาใช้ในการจัดคิว ทำให้ประชาชนต้องเดินทางมาแล้วพบว่าคิวเต็ม และ การบังคับให้ต้องถ่ายเอกสารซ้ำซ้อนทั้งที่มีข้อมูลอยู่ในฐานข้อมูลของทางการแล้ว รวมถึงปัญหาการคีย์ข้อมูลผิดพลาดของเจ้าหน้าที่ (ทร.38) กลับสร้างภาระให้ประชาชนต้องมายื่นคำร้องแก้ไขเอง นอกจากนี้ อำนาจในการอนุมัติขั้นสุดท้ายยังคงรวมศูนย์อยู่ที่กรมการปกครอง ทำให้กระบวนการที่ควรจะจบในระดับอำเภอต้องล่าช้าออกไปอีก
ประธานกลุ่มไทลื้อ แม่สาย กล่าวว่า กลุ่มผู้สูงอายุที่ยื่นขอแปลงสัญชาติมานานนับสิบปียังคงรอคอยอย่างไม่มีกำหนด โดยได้ยื่นคำขอไว้ตั้งแต่ปี 2563 จำนวนกว่า 800 คน แต่ได้รับการอนุมัติน้อยมาก และยังตกค้างอีกเป็นจำนวนมากซึ่งคนกลุ่มนี้ไม่ได้อยู่ในนโยบายเร่งรัดนี้ ขณะที่คนยื่นภายหลังกลับได้รับอนุมัติอย่างรวดเร็ว ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่ามติ ครม. ฉบับนี้ยังไม่ครอบคลุมปัญหาทั้งหมด
นายนรเศรษฐ์ ปรัชญากร ประธานคณะ กมธ.ฯ ได้กล่าวสรุปว่า รับทราบถึงปัญหาทั้งหมด โดยเฉพาะความเสี่ยงที่ประชาชนยังคงต้องใช้ชีวิตอย่างไม่สบายใจ และปัญหาสถานะบุคคลที่เป็นเรื่องของกระบวนการที่ซับซ้อน โดยจะรับเรื่องทั้งหมดไปติดตามกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในส่วนกลางต่อไป เพื่อให้การแก้ไขปัญหาที่ต้นทางของฝ่ายบริหารที่เป็นผู้ดำเนินนโยบายให้เกิดขึ้นอย่างแท้จริง