สำนักข่าว Than Lwin Times รายงานเมื่อวันที่ 22 กันยายน 2568ว่า จำนวนตัวเลขขอทานในเมืองเมาะละแหม่ง รัฐมอญ ประเทศพม่าเพิ่มสูงขึ้นเป็นประวัติการในรอบเกือบ 5 ปีนับตั้งแต่เกิดรัฐประหารในพม่า โดยยังพบว่า ในจำนวนขอทานทั้งหมดเป็นเด็กมากที่สุด แม้ว่าจะมีประชาชนวัยกลางคนและผู้สูงอายุรวมอยู่ด้วยก็ตาม
มีรายงานว่า ขอทานส่วนใหญ่มักพบเห็นตามสี่แยกหรือถนนที่คนพลุกพล่าน ตามตลาด ในเขตตัวเมือง และแม้แต่ตามหมู่บ้านรอบนอกของเมืองเมาะละแหม่ง
ชาวบ้านในเมืองเมาะละแหม่งรายหนึ่งกล่าวว่า จำนวนขอทานเพิ่มสูงขึ้นอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน
“จำนวนขอทานเพิ่มขึ้นอย่างมาก เราเห็นขอทานหน้าใหม่ๆที่ไม่เคยเห็นมาก่อนในกลุ่มของพวกเขา บางคนเป็นคนเรียบร้อย แต่คงไม่มีทางเลือกอื่น จึงต้องหันไปเป็นขอทาน มันน่าตกใจจริงๆ บางคนไม่ได้ทำตัวเหมือนขอทานทั่วไป พวกเขาเข้าหาผู้คน อ้อนวอนและขอเงิน พร้อมกับเล่าเรื่องความยากลำบากของพวกเขา” ชาวบ้าน กล่าว
สื่อท้องถิ่นระบุว่า เหตุที่จำนวนขอทานเพิ่มขึ้นเนื่องจากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่แพงขึ้น อัตราการว่างงานที่สูงขึ้น การขาดแคลนโอกาสในการทำงาน และสภาพความเป็นอยู่ที่ยากลำบากยิ่งขึ้นในพม่านับตั้งแต่การรัฐประหาร
ด้านนักวิเคราะห์ด้านธุรกิจและเศรษฐกิจในพม่าชี้ว่า รัฐบาลทหารพม่าให้ความสำคัญกับการใช้จ่ายของกองทัพมากกว่าสวัสดิการสาธารณะ ประกอบกับไม่สามารถสร้างงานให้กับประชาชนได้ และขณะนี้การลงทุนจากต่างประเทศที่ลดลงนับตั้งแต่เกิดรัฐประหาร ทำให้ประชาชนยากจนลงเรื่อยๆ
ก่อนหน้านี้ โครงการอาหารโลก (WFP) ได้ประกาศเมื่อวันที่ 5 กันยายน 2568 ที่ผ่านมาว่า ประชากรในพม่า 1 ใน 3 กำลังเผชิญกับความหิวโหย ซึ่งหมายความว่ามีผู้คนราว 16.7 ล้านคนกำลังประสบกับวิกฤตความหิวโหย ซึ่งเพิ่มขึ้น 3 ล้านคนจากปี 2567
อีกพื้นที่หนึ่ง ที่พบปัญหาสังคม คือเมืองมิตจีนา เมืองหลวงรัฐคะฉิ่น โดยสื่อท้องถิ่น Myitkyina Journal ได้รายงานว่า พบปัญหาอาชญากรรมเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะในเดือนกันยายน 2568 นี้ เมื่อเทียบกับเดือนอื่นๆ โดยพบทั้งปัญหาการชิงทรัพย์ ฆ่า ข่มขืนเกิดขึ้นในเมืองมิตจีนาบ่อยครั้ง
สื่อท้องถิ่นรายงานว่า ล่าสุด พบเด็กหญิงวัย 6 ขวบ หายตัวไปในหมู่บ้านหน่าวหน่า เขตมิตจีนา และพบร่างเสียชีวิตของเด็กหญิงในเวลาต่อมา
“คำแนะนำที่ดีที่สุดก็คือให้อยู่แต่ในบ้านหลังจากมืดค่ำ และเดินตามถนนสายหลักที่มีคนพลุกพล่าน การเดินไปตามตรอกซอกซอยที่เปลี่ยวก็เหมือนการไปพบกับปัญหา” ชาวเมืองมิตจีนากล่าว
มีรายงานว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่ไม่ได้ให้ความสำคัญเกี่ยวกับปัญหาอาชญากรรมที่กำลังเกิดขึ้นในพื้นที่ ทำให้ชาวบ้านต้องรวมตัวกันจับกุมคนร้ายที่ก่อเหตุต่างๆด้วยตัวเอง
ทั้งนี้ เมืองมิตจีนาเป็นที่ตั้งของโครงการลงทุนของจีน โดยเมืองมิตจีนายังเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญในโครงการริเริ่มหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง (BRI) หรือที่รู้จักกันในชื่อโครงการเส้นทางสายไหมใหม่ และโครงการระเบียงเศรษฐกิจจีน-พม่า
ก่อนหน้านี้ สถาบันยุทธศาสตร์และนโยบายพม่า (ISP Myanmar) รายงานว่า โครงการที่เชื่อมโยงกับเมืองมิตจีนาภายในโครงการระเบียงเศรษฐกิจจีน-พม่านั้น ส่วนใหญ่ประกอบด้วยเขื่อนมิตส่ง ทางหลวงมิตจีนา-ติกไย และเขตพัฒนาเศรษฐกิจมิตจีนา โดยนับตั้งแต่ยึดอำนาจจากการรัฐประหารในปี 2564 กองทัพพม่าได้ร่วมมือกับจีนเพื่อรื้อฟื้นโครงการเขื่อนมิตจีนาที่ถูกระงับไว้ก่อนหน้านี้
ทั้งนี้ ในบรรดา 18 เมืองของรัฐคะฉิ่น ได้แก่ เมืองชิปวี ซอลอ ซัมปราบัม เอ็นจังยาง โมหมอก และเมืองม่านซีเป็นต้น อยู่ภายใต้การควบคุมของกองกำลังเอกราชคะฉิ่น (Kachin Independence Army – KIA) และองค์กรเอกราชกะฉิ่น (Kachin Independence Organization – KIO) ซึ่งเป็นองค์กรทางการเมืองของ KIA