Search

หวั่นรัสเซียเข้ามาลงทุนพัฒนานิวเคลียร์ในทวาย-เปิดทางทุนใหญ่ ซ้ำเติมละเมิดสิทธิชุมชน-ผลกระทบข้ามพรมแดน-เชื่อพม่าทิ้งข้อตกลงเดิมทำไว้กับญี่ปุ่น-ไทย

เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2568 ที่ อ.เมือง จ.นครพนม เครือข่ายองค์กรภาคประชาสังคมร่วมกันจัดงาน “สัปดาห์สิ่งแวดล้อมแม่โขง-อาเซียน 2025” (Mekong-ASEAN Environmental Week: MEAW) ภายใต้ธีม “The Fake Green เขียวลวง: ปฏิบัติการฟอกเขียวในภูมิภาคกับพลังประชาชน” ระหว่างวันที่ 27-30 กันยายน โดยมีนักกิจกรรม เยาวชน ชาวบ้าน และนักวิชาการ จากภูมิภาคลุ่มน้ำโขงและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เข้าร่วม

ภายในงานมีการเสวนา “ทวายใต้ความขัดแย้ง: เขตเศรษฐกิจพิเศษ ความขัดแย้งทางอาวุธ การแทรกแซงทางภูมิรัฐศาสตร์ และการฟอกเขียว”

Thet Ei San สมาคมพัฒนาทวาย (Dawei Development Association – DDA) จากเมียนมา กล่าวว่า เขตเศรษฐกิจพิเศษทวายเป็นโครงการขนาดใหญ่ที่มีการละเมิดสิทธิมนุษยชนหลายด้าน และส่งผลทางสิ่งแวดล้อมต่อแหล่งน้ำที่จะต้องถูกนำไปใช้ในโครงการ ชาวบ้านถูกบังคับให้ย้ายออกจากที่ดินดั้งเดิมของชุมชน พื้นที่เกษตรและเขตป่าถูกทำลาย มีการคุกคามชาวบ้านที่ลุกขึ้นมาคัดค้าน สถานการณ์เช่นนี้ยังคงเกิดขึ้นทุกวัน ส่วนระบบบริการสาธารณะต่าง ๆ โดยเฉพาะด้านสุขภาพเป็นปัญหาอย่างมาก ชาวบ้านต้องดิ้นรนเพื่อเอาตัวรอดในแต่ละวัน เพราะฐานทรัพยากรถูกทำลายและชุมชนถูกแย่งยึดที่ดินทำกิน

Thet Ei San กล่าวอีกว่า จากข้อมูลพบว่า ที่ผ่านมามีคนได้รับบาดเจ็บ 3 กรณี ถูกทำร้าย 12 กรณี อีกทั้งมีการลาดตระเวนทางอากาศเพื่อขับไล่ชุมชนจนมีชาวบ้านถูกจับกุมไปแล้ว 97 คน ซึ่งตอลด 4 ปีที่ผ่านมาชาวบ้านนอกจากชาวบ้านต้องได้รับผลกระทบจากโครงการเศรษฐกิจพิเศษ ยังมีผลกระทบจากการสู้รบหลังรัฐประหารเมียนมา ชาวบ้านต้องกลายเป็นผู้พลัดถิ่นในประเทศอีกกว่า 6 หมื่นคน

ด้าน Thu Rein องค์กร Dawei Watch จากเมียนมา กล่าวว่า เมื่อต้นปีใน ก.พ.ที่ผ่านมา รัสเซียกับเมียนมาลงนามในบันทึกความร่วมมือในแผนพัฒนาโครงการสร้างโรงไฟฟ้านิเคลียร์ที่ทวาย และเมียนมาจะไม่เดินหน้าต่อตามข้อตกลงไตรภาคีระหว่างไทยกับญี่ปุ่น เพื่อเปิดทางให้รัสเซียเข้ามาลงทุนสร้างท่าเรือน้ำลึก โรงกลั่นน้ำมัน และโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ แต่ยังไม่มีกรอบเวลาเริ่มโครงการที่แน่ชัด ขณะที่กองกำลังสหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง (KNU) แถลงการณ์ว่ามีความกังวลว่าโรงไฟฟ้านิวเคลียร์จะส่งผลกระทบรุนแรงในพื้นที่และข้ามพรมแดนไปถึงไทยด้วย ซึ่งจะเป็นปัญหาความขัดแย้งเมียนมากับไทยตามมา เพราะเคยมีบทเรียนจากโครงการท่อก๊าซในปี 1990 ที่ลงทุนโดยไทย และมีการสู้รบกับ KNU ทำให้ชาวบ้านนับแสนคนได้รับผลกระทบหนีภัยสงครามข้ามไปยังฝั่งไทย ซึ่งในอนาคตการให้รัสเซียเข้ามาเดินหน้าสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์อาจทำให้เกิดสถานการณ์เช่นในอดีต

นายวิชัย จันทวาโร ผู้จัดการโครงการมูลนิธิเสมสิกขาลัย กล่าวว่า ปัจจุบันเศรษฐกิจรัสเซียอยู่ในสถานการณ์ย่ำแย่ จึงเชื่อว่ายังไม่มีความพร้อมที่จะเข้ามาพัฒนาโครงการขนาดใหญ่ในเชิงเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว แต่อาจเข้ามาพร้อมกับเหตุผลเรื่องภูมิรัฐศาสตร์ เพราะเป็นเหตุผลเดียวที่รัสเซียจะเข้ามาในภูมิภาคในขณะนี้ โดยมีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์รวมไปถึงท่าเรือน้ำลึก ดังนั้นสิ่งที่ไทยต้องกังวลคือ ทวายอยู่ห่างจากกรุงเทพฯ เพียง 350 กิโลเมตร และทิศทางลมสามารถพัดพามาถึง อีกทั้งห่างจากระนองไปตามแนวชายฝั่ง 500 กิโลเมตร ที่จะมีผลกระทบจากทางทะเล คนไทยจึงจำเป็นต้องสื่อสารถึงรัฐบาลไทยและภูมิภาคอาเซียนให้ร่วมกันคัดค้านการเข้ามาของรัสเซีย

นายวิชัย กล่าวอีกว่า หลังจากการรัฐประหารในเมียนมา นอกจากการต่อสู้ของกองกำลังพิทักษ์ประชาชน (PDF) กับรัฐบาลทหารเมียนมา ยังมีการเกิดขึ้นของกองกำลังย่อยใหม่ ๆ อีกหลายกลุ่ม ซึ่งแต่ละกลุ่มไม่ได้เป็นเนื้อเดียวกันทั้งหมด การเข้ามาของรัสเซียหรือทุนใหญ่จะยิ่งส่งผลกระทบมากขึ้น เพราะชาวบ้านจะถูกโยกย้าย ความรุนแรงจะขยายตัวเพิ่มขึ้น และกระทบกับเศรษฐกิจ ทำให้ทวายกลายเป็นพื้นที่ว่างเปล่าไม่มีชีวิตอยู่ที่นั่น

นายธารา บัวคำศรี อดีตผู้อำนวนการกรีนพีซ ประเทศไทย กล่าวว่า ไทยควรเฝ้าระวังการเข้ามาของสถาบัน ROSATOM Technical Academy ในโครงการพัฒนาโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ของเมียนมา เนื่องจาก ROSATOM เสมือนเป็นองค์กรแขนขาของนายวลาดิมีร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซีย ที่ใช้เป็นเครื่องมือเชิงรุกทางภูมิรัฐศาสตร์ ซึ่งเห็นได้ชัดเจนจากการที่กองทัพพม่าใช้อาวุธจากรัสเซียในการโจมตีฝ่ายต่อต้านในเมียนมา โดย ROSATOM พยายามขยายโปรเจคเข้าสู่ภูมิภาคแข่งกับจีน นอกจากนี้หากมองผ่านบทเรียนจากสงครามยูเครน การเข้ามาของ ROSATOM หรือ รัสเซีย จะทำให้มีการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างรุนแรง ดังนั้นเราต้องช่วยกันป้องกันไม่ให้รัสเซียเข้ามามีบทบาทในภูมิภาคของเรา

On Key

Related Posts