เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2568 นายพิเชษฐ์ ทองพันธ์ อธิบดีกรมการจัดหางาน เปิดเผยถึงความพร้อมในการอนุญาตนำแรงงานที่หนีภัยการสู้รบจากพื้นที่พักพิงชั่วคราว 9 แห่ง ใน 4 จังหวัดชายแดนตะวันตก ออกมาทำงานตามมติคณะรัฐมนตรี 26 สิงหาคม 2568 ซึ่งจากประกาศกระทรวงมหาดไทยและกระทรวงแรงงาน จะเริ่มดำเนินการใน วันที่ 1 ตุลาคม 2568 นี้ว่า กรมการจัดหางานได้หารือกับกรมการปกครอง มีความพร้อมที่จะเปิดให้ผู้หนีภัยการสู้รบออกมาทำงานแล้ว
นายพิเชษฐ์กล่าวว่า ได้มีการกำหนดแนวทางไว้ 6 ขั้นตอนคือ 1.ผู้ประสงค์จะจ้าง ไปคัดเลือกคนงานในศูนย์พักพิงฯ 2.แจ้งรายชื่อคนต่างด้าว พร้อมทั้งสถานที่ทำงานและระยะเวลาที่จะจ้างให้สำนักงานจัดหางานจังหวัดต้นทางรับทราบ พร้อมออกใบรับแจ้ง –เอกสารนายจ้าง: ใบรับแจ้ง, สำเนาบัตรประชาชนและสำเนาทะเบียนบ้าน, กรณีเป็นนิติบุคคล ใช้หนังสือรับรองบริษัทที่มีอายุไม่เกิน 6 เดือน 3.ขออนุญาตออกนอกพื้นที่ กับนายอำเภอ/ปลัดอำเภอ ตามแบบ อน.1
4.คนงานรายงานตัว ณ กรมการปกครอง ภายใน 48 ชั่วโมง ตามแบบ รต.1 –กทม.: รายงานตัวต่อ ผอ. สำนักกิจการมั่นคงภายใน –จังหวัดอื่น: รายงานตัวต่อนายอำเภอ (43 จังหวัด/ยกเว้นภาคอีสานและภาคใต้) 5.ตรวจสุขภาพและทำประกันสุขภาพ (โดยกระทรวงสาธารณสุข) 6.คนต่างด้าวขออนุญาตทำงาน ณ สำนักงานจัดหางานจังหวัด ที่สถานที่ทำงานตั้งอยู่ในเขตพื้นที่ (ไม่เกิน 1 ปี)
อธิบดีกรมการจัดหางานกล่าวว่า ในการยื่นครั้งแรก มีค่ายื่นคำขอ 100 บาท ยกเว้นค่าธรรมเนียมใบอนุญาตทำงาน ส่วนการยื่นครั้งถัดไป มีค่าธรรมเนียมใบอนุญาตทำงานปีละ 900 บาท และค่ายื่นคำขอ 100 บาท
นายพิเชษฐ์กล่าวว่า สำหรับประเภทของงานสามารถทำได้ตามอาชีพที่อนุญาตให้คนต่างด้าวทำงานได้เท่านั้น ยกเว้นงานต้องห้าม 27 อาชีพที่สงวนไว้ให้คนไทย เช่น เสริมสวย นวดแผนไทย เครื่องถม เป็นต้น จากการสำรวจของกรมการปกครอง พบว่า มีผู้หนีภัยการสู้รบชาวเมียนมา ในพื้นที่พักพิงชั่วคราวทั้ง 9 แห่ง ใน 4 จังหวัด มีวัยแรงงานที่พร้อมทำงาน อายุ 18-59 ปี จำนวน 42,601 คน โดยมีความพร้อมที่จะทำงานได้ทันที 12,000 คน โดยกรมการปกครองกำหนดรับเฉพาะ 43 จังหวัด ในภาคเหนือ 17 จังหวัด ภาคกลาง 18 จังหวัด และภาคตะวันออก 8 จังหวัด ยังไม่เปิดในภาคใต้และภาคอีสาน
ส่วนนายจ้างที่กรมการจัดหางานสำรวจความต้องการประมาณ 6,152 คน และที่สามารถรับเข้าทำงานได้ทันที 1,200 คน โดยประเภทแรงงานพบ 5 อันดับแรก ที่มีความต้องการมากที่สุด คือ 1. ก่อสร้าง 1,432 คน 2. ผลิตหรือจำหน่ายผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์ 1,093 คน 3. เกษตรและปศุสัตว์ 609 คน 4. ประมง 609 คน 5. ผลิตหรือจำหน่ายอาหารและเครื่องดื่ม 403 คน
อธิบดีกรมการจัดหางานกล่วว่า ส่วนความพร้อมของแรงงานที่กรมการปกครอง สำรวจในพื้นที่พักพิงชั่วคราว 9 แห่ง จำนวน 42,601 คน ประกอบด้วย 1.แม่ฮ่องสอน 4 แห่ง รวม 13,446 คน คือศูนย์พักพิงฯบ้านใหม่ในสอย อ. เมือง 3,813 คน ศูนย์พักพิงฯบ้านแม่สุริน อ. ขุนยวม 1,046 คน ศูนย์พักพิงฯบ้านแม่มาลาหลวง อ. สบเมย 4,840 คน และศูนย์พักพิงฯบ้านแม่ละอูน อ. สบเมย 3,950 คน
2.ตาก 3 แห่ง รวม 25,662 คน คือศูนย์พักพิงฯบ้านแม่หละ อ. ท่าสองยาง 15,674 คน ศูนย์พักพิงฯบ้านอุ้มเปี้ยม อ. พบพระ 5,253 คน ศูนย์พักพิงฯบ้านนุโพ อ. อุ้มผาง 4,735 คน
3.กาญจนบุรี 1 แห่ง รวม 954 คน คือศูนย์พักพิงฯบ้านต้นยาง อ. สังขละบุรี 954 คน และ4.ราชบุรี 1 แห่ง รวม 2,336 คนคือที่ศูนย์พักพิงฯบ้านถ้ำหิน อ. สวนผึ้ง 2,336 คน
“การเปิดให้ผู้หนีภัยการสู้รบเป็นแรงงาน จะบรรเทาปัญหาการขาดแคลนแรงงาน โดยเฉพาะกิจการก่อสร้าง ทดแทนแรงงานกัมพูชาที่ขาดไป ซึ่งกระทรวงแรงงาน มี 4 มาตรการ ทั้งการขยายมาตรา 64 ตามชายแดนเพื่อให้มีแรงงานเก็บผลไม้ การเปิดให้ผู้หนีภัยฯออกไปทำงาน การทำ MOU รับแรงงานศรีลังกา และเปิดแรงงานเถื่อนให้ขึ้นทะเบียนถูกต้อง”นายพิเชษฐ์ กล่าว
อธิบดีกรมการจัดหางานกล่าวว่า การให้สิทธิแรงงานกับผู้หนีภัยการสู้รบ เป็นมาตรการทางมนุษยธรรมที่สำคัญ ทำให้เขามีคุณค่าในตัวเอง กรมการจัดหางานและกรมการปกครอง ดูทุกมิติแล้ว เราสำรวจความต้องการแรงงาน นายจ้างก็ได้ไปพูดคุย น่าจะดีทั้งสองฝ่าย
นายพิเชษฐ์กล่าวว่า มาตรการที่เริ่มตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2568 ถือเป็นการนำร่องที่ต้องหางานให้เหมาะกับแรงงาน หลังจากนี้หากเป็นไปด้วยดี จะได้ปรับให้เหมาะกับทักษะของผู้หนีภัยการสู้รบ
“ถ้าแรงงานทำได้ดีก็สามารถขยายหรือทบทวนมาตรการต่าง ๆ ให้เปิดกว้างขึ้น แรงงานก็ต้องเคารพกติกาเบื้องต้นที่นำร่อง ตามสิทธิแรงงานที่ได้รับ เปิดขั้นตอนทางกฎหมาย ส่วนนายจ้างก็สามารถไปประสานงานในจังหวัดที่มีพื้นที่พักพิงทั้ง 4 จังหวัดที่สำนักงานจัดหางานจังหวัดตาก กาญจนบุรี ราชบุรี และแม่ฮ่องสอนได้ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. นี้” อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าว
