เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2568 ซึ่งเป็นวันแรกตามมติคณะรัฐมนตรี(ครม.)ที่ดำเนินการขออนุญาตให้นำแรงงานที่หนีภัยการสู้รบจากศูนย์พักพิงชั่วคราว 9 แห่งใน จ.แม่ฮ่องสอน ตาก กาญจนบุรีและราชบุรี ออกมาทำงานเป็นแรงงานต่างด้าว ซึ่งกรมการจัดหางานได้กำหนดวิธีการไว้ 6 ขั้นตอน อย่างไรก็ตามบรรยากาศในศูนย์พักพิงชั่วคราวยังคงเป็นปกติโดยยังไม่มีผู้ประกอบการหรือนายจ้างเข้าไปติดต่อขอจ้างผู้ลี้ภัย
แหล่งข่าวจากศูนย์พักพิงฯกล่าวว่า สาเหตุที่ยังไม่มีผู้ประกอบการหรือนายจ้างเข้าไปยังศูนย์ผู้ลี้ภัยฯเนื่องจากยังคงสับสนในระบบและขั้นตอนการจ้างแรงงานผู้หนีภัยกลุ่มนี้เนื่องจากไม่แน่ใจว่า สามารถเข้าไปยังศูนย์พักพิงชั่วคราวได้เลยหรือต้องติดต่อผ่านผู้แทนกรมการจัดหางานในพื้นที่ก่อน โดยก่อนหน้านี้ได้มีผู้ประกอบการบางส่วนประสานไปยังคณะกรรมการค่ายผู้ลี้ภัยเพื่อว่าจ้างแรงงาน แต่ยังไม่สามารถทำได้เพราะยังไม่ได้ประสานกับผู้แทนกรมการจัดหางาน
“จริงๆแล้วมีผู้ประกอบการจำนวนหนึ่งติดต่อมายังคณะกรรมการค่าย แต่ก็ทำอะไรไม่ได้เพราะยังสับสนในขั้นตอนอยู่ หากรัฐบาลต้องการให้เกิดความคล่องตัว ควรจัดทำศูนย์แบบ One Stop Service เพื่ออำนวยความสะดวกให้ทั้งผู้ประกอบการและผู้ลี้ภัย แต่ในวันนี้ยังไม่ค่อยมีความพร้อม จึงไม่มีใครเข้าไปในศูนย์พักพิงฯ”แหล่งข่าวกล่าว
แหล่งข่าวกล่าวว่า ก่อนหน้านี้คณะกรรมการค่ายผู้ลี้ภัย 7 ค่ายได้เดินทางไปดูงานสวนลำไยและไร่อ้อยที่ จ.กาญจนบุรี และ จ.สระแก้ว ซึ่งมีความต้องการแรงงานนับหมื่นคน โดยเสียงสะท้อนจากคณะกรรมการค่ายส่วนใหญ่เห็นว่าไม่มีปัญหาเรื่องความปลอดภัย และเชื่อว่าสามารถไปทำงานได้ อย่างไรก็ตามคณะกรรมการค่ายฯจะหารือกันในวันที่ 4 ตุลาคม”แหล่งข่าว กล่าว
ในวันเดียวกันนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี กล่าวว่าการอนุญาตให้ผู้ลี้ภัยออกมาทำงานเป็นนโยบายที่แสดงให้เห็นว่าไทยยึดมั่นในหลักมนุษยธรรม และยังเป็นการส่งสัญญาณทางการเมืองไปยังประเทศเพื่อนบ้านที่กำลังมีปัญหากับไทย
นายกรัฐมนตรีระบุว่า การอนุญาตให้ผู้หนีภัยฯ ซึ่งมีจำนวนหลายหมื่นคน ออกมาทำงานได้ไม่เกิน 1 ปี เป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ที่ปฏิบัติตามกฎหมายและระเบียบของไทยสามารถสร้างประโยชน์ให้แก่ประเทศได้ ซึ่งถือเป็นตัวอย่างที่ดีในการแสดงออกต่อประชาคมโลก
“นโยบายนี้ยังเป็นการส่งสัญญาณไปยังประเทศเพื่อนบ้านที่กำลังมีปัญหากับเราว่า หากไม่ปฏิบัติตามกฎหรือเงื่อนไขของไทย ก็จะไม่ได้รับการผ่อนปรนใดๆ และประเทศไทยไม่ได้อยู่ในภาวะขาดแคลนแรงงาน”นายอนุทินกล่าว และว่า แรงงานกลุ่มนี้จะได้รับการปฏิบัติในฐานะแรงงานที่ถูกกฎหมายทุกประการ โดยนายจ้างมีหน้าที่ต้องจัดสวัสดิการ ประกันสุขภาพและสิทธิต่างๆ ให้เป็นไปตามที่กฎหมายแรงงานกำหนด
นายนิรัตน์ พงษ์สิทธิถาวร อธิบดีกรมการปกครอง กล่าวว่า กรมการปกครองพร้อมแล้วสำหรับการเปิดให้ผู้หนีภัยการสู้รบจากเมียนมา ในพื้นที่พักพิงชั่วคราว 9 แห่งได้ออกมาทำงาน โดยผู้หนีภัยการสู้รบจากเมียนมาจำนวนกว่า 77,000 คน พบว่ามีช่วงวัยที่เหมาะการทำงานกว่า 46,000 คน และพร้อมทำงานกว่า 12,000 คน ที่กระทรวงแรงงาน โดยกรมการจัดงานจะให้นายจ้างเข้ามาคัดเลือกเพื่อนำไปทำงานในพื้นที่ต่างๆ ซึ่งคาดหวังว่าจะหางานให้ตรงกับแรงงาน
“ที่เริ่มดีเดย์วันนี้ ไม่ใช่ว่าพอเริ่ม 1 ต.ค.68 แล้วจะเปิดค่าย ปล่อยให้ออกไปทำงานเลย ไม่ใช่อย่างนั้น แต่มีขั้นตอนที่ต้องรู้ก่อนจะไปทำงานที่ไหน ทำอะไร ลักษณะงานตรงตามทักษะความสามารถหรือไม่ ซึ่งเราก็ห่วงในเรื่องนี้ด้วย ซึ่งกระทรวงแรงงานจะดูแล ให้เข้าหลักเกณฑ์เหมือนแรงงานต่างด้าวอื่นๆ”อธิบดีกรมการปกครองกล่าว
นายนิรัตน์กล่าวว่า นับตั้งแต่วันนี้คนที่ต้องการแรงงาน สามารถไปติดต่อกรมการจัดหางาน เพื่อไปคัดเลือกแรงงานในพื้นที่พักพิงฯ 9 แห่ง ทั้ง 4 จังหวัด ซึ่งวันนี้วันแรก กรมการปกครองสามารถออกเอกสารออกนอกพื้นที่ให้ได้ ด้วยความโปร่งใส ไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆตามกฎหมาย ซึ่งหลังได้เริ่มทำงานไปแล้ว กรมการปกครองจะหารือกับกรมการจัดหางาน เพื่อประเมินผลว่า สามารถมีรายได้ดูแลตัวเองและครอบครัว และเป็นประโยชน์ทางเศรษฐกิจของไทยอย่างไร และต้องทำให้เกิดความเข้าใจตรงกัน ถือเป็นประโยชน์ที่ลงตัวของทุกฝ่าย รวมถึงการแก้ปัญหาขาดแคลนแรงงาน
สำหรับการรายงานตัวในพื้นที่กรุงเทพมหานคร นายจ้างสามารถนำแรงงานมารายงานตัวแจ้งเข้า ได้ที่ สถานที่รับรายงานตัวและขออนุญาตออกนอกเขตต่อเนื่อง ผู้หนีภัยการสู้รบจากเมียนมา 9 แห่ง อาคาร 4 ชั้น 4 กรมการปกครอง วังไชยา ซึ่งมีเจ้าหน้าที่พร้อมให้รายงานตัวแล้ว และจะใช้เป็นสถานที่ในการรายงานตัวระหว่างการทำงานในระยะเวลา 1 ปี หากเป็นแรงงานที่ได้ทำงานเกิน 6 เดือน นายจ้างจะต้องพามารายงานตัวทุก 4 เดือน ส่วนพื้นที่ปลายทางจังหวัดอื่นๆ ให้ไปรายงานตัว ณ ที่ว่าการอำเภอนั้นๆ
ขณะที่นายกัณวีร์ สืบแสง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเป็นธรรม กล่าวว่า เป็นวันดีเดย์ ที่ผู้หนีภัยการสู้รบได้ออกมานอกค่ายในรอบ 41 ปี ได้ยืนด้วยขาตัวเอง ไม่ต้องรอใครเอาอะไรมาให้อีกแล้ว พร้อมทั้งยังช่วยร่วมพัฒนาประเทศไทยด้วยการจ่ายภาษีไปพร้อมๆ กัน
“นี่คือการช่วยเหลือทางมนุษยธรรมครั้งสำคัญของไทยที่อยากให้สังคมไทยโอบรับพวกเขาได้ใช้ศักยภาพที่มีอยู่เพื่อร่วมพัฒนาสังคมไทย การจำกัดให้พวกเขาต้องแบมือรอรับการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมจากคนอื่นตลอดเวลา 41 ปี มันเป็นการย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์อย่างยิ่ง” นายกัณวีร์ กล่าว
นายกัณวีร์กล่าวว่า ไทยได้ก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัยสมบูรณ์ โดยในอีก 4 ทศวรรษข้างหน้าประชากรไทยจะลดลงกว่าครึ่งหนึ่งด้วย และการอนุญาตให้ผู้ลี้ภัยได้ทำงานภายนอกเป็นการแก้ปัญหาขาดแคลนแรงงาน ซึ่งประเทศไทยที่ได้รับคำชมจากเวทีระหว่างประเทศในการตัดสินใจครั้งนี้ด้วย
“ที่สำคัญฝากถึงรัฐบาลใหม่ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย นโยบายนี้เป็นก้าวย่างสำคัญต่อหลักการมนุษยธรรมนำการเมือง ที่ผมไม่อยากให้กลายเป็นช่องว่างเกิดการเรียกรับผลประโยชน์ เรียกรับส่วย เหมือนกรณี ส่วย สัญชาติ ที่ยังตามจับใครไม่ได้”สส.พรรคเป็นธรรม กล่าว
————-