
เมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2568 ที่คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ศูนย์ศึกษาชาติพันธุ์และการพัฒนา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (มช.) จัดเสวนา ผู้ลี้ภัย: สิทธิและข้อท้าทายการทำงานในประเทศไทย โดยดร.ชยันต์ วรรธนะภูติ ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาชาติพันธุ์ฯ กล่าวว่า เคยสำรวจความคิดเห็นของผู้ลี้ภัยในค่ายอพยพทั้ง 9 แห่ง พบว่ามีผู้ที่เลือกจะอยู่ในไทยเป็นทางที่น่าจะเหมาะสมที่สุด ช่วง 10 ปีที่ผ่านมารอคอยด้วยความมั่นใจว่าสักวันหนึ่งนโยบายของรัฐบาลไทยจะทำให้ข้อเสนอของเราในการให้ผู้ลี้ภัยได้ออกมาทำงานเป็นจริง วันนี้จึงเป็นวันที่อยากจะทำความเข้าใจกับผู้แทนกระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับนโยบายของรัฐบาลไทย จะดูว่าผู้ลี้ภัยเมื่อทดลองหาโอกาสไปทำงานในประเทศไทยจะมีอุปสรรคอะไรบ้างแล้วหาทางแก้ไขปัญหาอย่างไร
นางชลิดา ทาเจริญศักดิ์ มูลนิธิศักยภาพชุมชน กล่าวว่า เมื่อรัฐบาลมีนโยบายทดลอง 1 ปี ให้ผู้ลี้ภัยออกมาทำงาน การปฏิบัติตามนโยบายน่าจะได้รับการชื่นชมจากภาคประชาสังคม ปัญหาผู้ลี้ภัยตามตะเข็บชายแดน คือด้านสาธารณสุขพยายามแก้ไขปัญหาการดูแลผู้ป่วย โรงพยาบาลต่างๆมีปัญหาค่าใช้จ่าย
จากนั้นได้มีเวทีเสวนานโยบายรัฐและแนวทางปฏิบัติการอนุญาตให้ผู้ลี้ภัยทำงานได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย โดยนายทรงกลด ขาวแจ้ง กลุ่มงานประสานนโยบายผู้อพยพและหลบหนีเข้าเมือง กระทรวงมหาดไทย ,นายปกครอง ศรีขาว ผู้ประสานงานประจำสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยประจำประเทศไทย (UNHCR)และนายกัณวีร์ สืบแสง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.)พรรคเป็นธรรม ดำเนินรายการโดย น.ส.ฐปณีย์ เอียดศรีไชย ผู้ก่อตั้งสำนักข่าว The Reporters
นายทรงกลด ขาวแจ้ง กล่าวว่า ที่ผ่านมารัฐบาลไทยมองผู้ลี้ภัยหนีการสู้รบเหมือนเป็นคนเข้าเมืองผิดกฎหมาย ซึ่งขณะนี้มีแรงงาน 42,000 คน ให้ทำงานในภาคเหนือ กลาง และตะวันออก เป็นภาคที่ขาดแคลนแรงงาน ทั้งนี้ ระยะเวลาการทำงาน 1 ปีตามประกาศกระทรวงมหาดไทยผ่อนผันใช้อยู่ สามารถทำงานได้เรื่อยๆ จนกว่ารัฐบาลจะเปลี่ยนนโยบาย ให้ผู้ลี้ภัยพึ่งพาตนเองได้
“หากดูในประกาศกระทรวงมหาดไทยเราก็ไม่ได้ปิดโอกาสที่ผู้ลี้ภัยจะเดินทางไปประเทศที่ 3 หรือกลับมาตุภูมิ บางคนอาจจะเข้าใจผิดว่าถ้าออกไปทำงานแล้วจะถูกตัดสิทธิออกจากทะเบียน ” นายทรงกลด กล่าว
ในขณะที่ นายปกครอง ศรีขาว ผู้ประสานงานประจำสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยประจำประเทศไทย (UNHCR) กล่าวว่า เป็นผลพวงจากการทำงานมา 41 ปีระหว่างรัฐบาลไทยและ UNHCR การร้องขอให้ผู้ลี้ภัยได้พึ่งพาตนเองไม่ใช่เรี่องใหม่หลายประเทศทั่วโลกก็มีนโยบายลักษณะนี้คืออนุญาตให้ผู้ลี้ภัยออกมาทำงาน คืนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ แต่สำหรับภูมิภาคนี้ค่อนข้างจะเป็นเรื่องใหม่
นายปกครอง กล่าวอีกว่า เป็นนโยบายรัฐบาลไทยที่กล้าหาญคือมีการหยิบเอาข้อเสนอในสภาขึ้นมาปัดฝุ่นว่าการพึ่งพาตนเองของผู้ลี้ภัยกลุ่มนี้จะมีทิศทางอย่างไร
“26 สิงหาคม UNHCR ก็ได้ออกแถลงการณ์ชื่นชมโดยทันทีว่านี่เป็นการตัดสินใจที่กล้าหาญ เป็นผู้นำด้านมนุษยธรรมในภูมิภาคและเป็นการคืนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ด้วยกันให้โอกาสคนที่ผ่านมา 41 ปีอ้อนวอนในป่าเขาลำเนาไพรได้สิ่งที่เรียกว่าโอกาส อาทิตย์หน้า UNHCR ก็จะจัด Executive Committee ที่จะรวมเอาบรรดาผู้นำสำคัญๆประเทศต่างๆไปพูดคุยประเด็นผู้ลี้ภัย ประเทศไทยภายใต้เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ที่จะเดินทางไปกล่าวถ้อยแถลงความสำเร็จนี้อย่างภาคภูมิใจ”นายปกครองกล่าว
นายกัณวีร์ สืบแสง สส.พรรคเป็นธรรม กล่าวว่า นโยบายความมั่นคงยังมองผู้ลี้ภัยเป็นภัยความมั่นคงจะผลักดันให้กลับประเทศมาตุภูมิเพียงอย่างเดียว การวางแผนดูแลคนทั้งหมดที่อยู่ใน 9 ค่ายคือสักวันหนึ่งประเทศไทยจะมีการผลักดันผู้ลี้ภัยทั้งหมดกลับประเทศต้นกำเนิดเท่านั้น อย่างอื่นจึงทำไม่ได้
“ตอนนั้นผมพยายามพูดคุยกับแคมป์คอมมานเดอร์ต่างๆในค่ายผู้พักพิง ว่าทำได้หรือไม่ที่จะให้ผู้ลี้ภัยออกไปทำงานนอกค่าย เขาจะได้ไม่หนีออกไปทำงานข้างนอก เขาบอกว่าทำไม่ได้ เพราะมีระเบียบความมั่นคงกำหนด อย่างเดียวที่ทำได้คือขนผู้ลี้ภัยออกไปทำงานข้างนอกแล้วมีการหักหัวคิว นั่นคือสิ่งที่ผมเห็นว่าไปถูกต้องไม่ได้แต่ทำผิดกฎหมายได้“ นายกัณวีร์ กล่าว
สส.พรรคเป็นธรรม กล่าวอีกว่า เมื่อกลับมาเป็นนักการเมืองมีโอกาสได้ใช้กลไกรัฐสภาขอจัดตั้งคณะอนุกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชนทำเรื่องแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืนในการโยกย้ายถิ่นฐานแบบไม่ปกติ คนไร้สัญชาติ ผู้ลี้ภัย แรงงานข้ามชาติ และเหยื่อจากการค้ามนุษย์ และได้ทำข้อเสนอซึ่งถูกจังหวะ
“26 สิงหาคม 2568 คณะรัฐมนตรีอนุญาตให้ผู้ลี้ภัยในค่ายอพยพออกมาทำงานได้ สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ดี แต่ผมกังวลว่ากระบวนการในการจะเอาผู้ลี้ภัยออกมาทำงานมันจะเป็นเหมือนส่วยสัญชาติด้วยเช่นกัน เราต้องเตรียมความพร้อมในการจัดทำมาตรการต่างๆกว่าที่เขาจะทำงานได้ ยืนด้วยขาตัวเองได้ ซื้อสวัสดิการของเขาได้ ต้องครอบคลุมไม่เช่นนั้นผู้ลี้ภัยก็จะกลายเป็นเหยื่ออีกครั้งหนึ่งของส่วยต่างๆ” สส.พรรคเป็นธรรม กล่าว
นายกัณวีร์ กล่าวอีกว่า การช่วยเหลือผู้ลี้ภัยในค่ายผู้พักพิงเป็นการช่วยเหลือทางด้านมนุษยธรรม ความเข้าใจของหน่วยงานราชการไม่เข้าใจคำว่ามนุษยธรรมอย่างเพียงพอ
———–