Search

ผู้เฒ่านับร้อยคนวอนรัฐเร่งกระบวนการแปลงสัญชาติ เผยอยู่ประเทศไทยมา 60 ปีจนลูกหลานได้บัตรประชาชนไทยหมดแล้ว แต่คนรุ่นบุกเบิกกลับถูกทอดทิ้งไว้ข้างหลัง “ครูแดง”เผยมีผู้สูงอายุตกค้างในกระบวนการอื้อ แนะรัฐบาลออกมติ ครม.เร่งขั้นตอน

เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2568 นางเตือนใจ ดีเทศน์ อดีตสมาชิกวุฒิสภา (สว.) หรือ “ครูแดง” เปิดเผยว่าเมื่อสัปดาห์ก่อนตนพร้อมเจ้าหน้าที่มูลนิธิพัฒนาชุมชนและเขตภูเขา (พชภ.) ได้ลงพื้นที่หมู่บ้านเทอดไทย อ.แม่ฟ้งหลวง จ.เชียงราย เพื่อพบและหารือกับผู้นำชุมชนและผู้เฒ่าไร้สัญชาติ โดยมีผู้เข้าร่วมประมาณ 80 คน

ทั้งนี้ผู้เฒ่าแทบทั้งหมดอาศัยอยู่ในประเทศไทยมานานกว่า 60 ปี แต่ยังไม่มีบัตรประชาชน โดยปัญหาที่พบคือ 1.กลุ่มที่ยื่นคำร้องแปลง สัญชาติของกลุ่มผู้สูงอายุที่อายุ 60 ปีขึ้นไป ประมาณ 100 คน ขณะนี้คำร้องอยู่ในขั้นตอนพิจารณาจากกระทรวงมหาดไทย 2. กลุ่มที่ยื่นคำร้องแปลงสัญชาติแล้ว รอจังหวัดพิจารณาเรียกสอบสัมภาษณ์โดยคณะทำงานระดับจังหวัด จากนั้นจะส่งไปยังกรมการปกครอง และ 3. กลุ่มที่เป็นเป้าหมายของมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) 29 ตุลาคม 2567 เรื่องหลักเกณฑ์เพื่อเร่งรัดการแก้ไขปัญหาสัญชาติและสถานะบุคคลให้แก่บุคคลที่อพยพเข้ามาเป็นเวลานานและกลุ่มบุตรที่เกิดในราชอาณาจักร โดยผู้เฒ่ากลุ่มนี้มีปัญหาการบันทึกเอกสารผิดซึ่งต้องมีการแก้ไขเอกสารที่มีความซับซ้อน

นางเตือนใจ ดีเทศน์ กล่าวว่าจากการพูดคุยพบว่าผู้เฒ่าไร้สัญชาติ บ้านเทอดไทย ได้ยื่นคำร้องขอแปลงสัญชาติ โดยผ่านการสอบสัมภาษณ์จากคณะกรรมการของจังหวัดเชียงรายแล้ว 90 กว่าคน ซึ่งที่เชียงรายมีจำนวนคำร้องที่ผ่านจังหวัดแล้วว่ามากกว่าพันคน และผ่านการเห็นชอบของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยแล้ว 400 กว่าราย ขณะนี้อยู่ระหว่างรอพระบรมราชานุญาต ซึ่งเชียงรายถือเป็นจังหวัดที่ส่งคำร้องไปยังกรมการปกครองมากที่สุด และขณะนี้ยังรอส่งไปอีก 900 คน

อดีตสมาชิกวุฒิสภากล่าวว่า ทั้งประเทศไทย มีผู้เฒ่าไร้สัญชาติประมาณ 110,000 คน และจำนวนกำลังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ สำหรับผู้ที่มีภูมิลำเนาบนแผ่นดินไทยมายาวนาน 40-60 ปี ควรมีมติคณะรัฐมนตรีใหม่ ที่สภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เสนอร่วมกันกระทรวงมหาดไทย เพื่อให้ผู้เฒ่าที่แก่ชราเหล่านี้สามารถเข้าสู่กระบวนการแปลงสัญชาติที่ทำให้สั้นลงโดยระยะเวลาไม่ควรเกิน 2 ปี พวกเขาอยู่ไทยมานาน ได้ใบต่างด้าวในช่วงปี พ.ศ. 2537 ซึ่งขณะนั้นทางการได้แจ้งชาวบ้านว่าถือใบต่างด้าว 5 ปีจะได้รับสัญชาติไทย แต่กระบวนการแปลงสัญชาติตามมาตรา 10 พรบ.สัญชาติ ใช้เวลายาวนานมาก

 “ผู้เฒ่าเหล่านี้อยู่บนแผ่นดินไทยมานานเกิน 40 ปี ลูกหลานต่างได้บัตรประชาชนไทยกันหมดแล้ว รัฐบาลควรให้ความสำคัญกับความมั่นคงของมนุษย์ เพื่อให้กลุ่มเปราะบางนี้ได้รับความมั่นคงและเข้าถึงสิทธิ” อดีตสว.กล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าในการหารือผู้เฒ่าต่างมาเข้าร่วมด้วยความหวัง และร่วมเล่าประวัติการเข้ามาอยู่ประเทศไทยของตนกันอย่างกระตือรือร้น และมีการหารือวางแผนที่จะร่วมกันทำกิจกรรมส่งเสริมวัตกรรมสุขภาพผู้เฒ่าชาติพันธุ์ เช่น การรวมกลุ่มสนทนาฟื้นฟูความทรงจำและสร้างเสริมสุขภาพจิต โดยได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)

นายส่างอุ่ง คำใส อายุ 73 ปี กล่าวว่าตนได้เข้ามาอยู่ประเทศไทยตั้งแต่ พ.ศ. 2517 โดยเดินทางมาทางด่านแม่สาย มาทำงานรับจ้างที่ประเทศไทย อยู่ไปก็มีครอบครัวและอยู่ที่นี่ ลูกหลานได้สัญชาติไทยแล้วทั้งหมด สำหรับตนแล้วแผ่นดินไทยคือบ้าน ตนทำงานสุจริตเป็นประชาชนที่ดีตลอดมา อยากได้เป็นคนไทยเพื่อให้ได้ภาคภูมิใจ

นายจงจื้อ แซ่หวง อายุ 73 ปี กล่าววว่าตนได้อพยพมายังประเทศไทยเมื่อปี พ.ศ.2507 มาจากมณฑลยูนนาน มาทำงานตั้งแต่อายุได้เพียง 14 ปี ตั้งรกรากที่บ้านเทอดไทยมาจนปัจจุบัน ลูกหลานเกิดมาก็ได้บัตรประชาชนแล้วทั้งหมด ลูกหลานทุกคนเป็นประชาชนไทย โดยตนเองได้ถือเอกสารใบสำคัญประจำตัวต่างด้าว ตั้งแต่ พ.ศ.2549 และอยู่ในขั้นตอนรอการขอแปลงสัญชาติเป็นไทย

แม่เฒ่าแลง เจนลาม อายุ 71 ปี กล่าวว่าตนได้เข้ามาประเทศไทยทางด่านแม่สาย อายุตอนนั้นประมาณ 20 ปี มาพร้อมพ่อแม่ สามีและลูก ติดตามพ่อมาทำงานที่บ้านเทอดไทย

 “เมื่อก่อนเทอดไทยเป็นแค่หมู่บ้านชายแดนบนภูเขา ห่างไกลเมือง มีตลาดเล็กๆ เป็นพื้นดิน เช้ามืดชาวบ้านก็เอาของมาวางขาย ทุกวันนี้เป็นตำบลใหญ่โตแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้เป็นคนไทย อยากเป็นคนไทยเหมือนคนอื่นๆ อยู่ประเทศไทยมาเกือบ 50 ปีแล้ว” แม่เฒ่ากล่าว

———–