เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2568 ที่มหาวิทยาลัยราชภัฎเชียงราย จ.เชียงราย ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมคณะได้ลงพื้นที่จังหวัดเชียงราย โดยมีนายรัฐพล นราดิศร ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย และนางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด(อบจ.)เชียงราย ให้การต้อนรับ โดยได้มีการประชุมมอบนโยบายให้ส่วนราชการทั้งท้องที่และท้องถิ่น ซึ่งมีข้าราชการกว่า 1,000 คนเข้าร่วม หลังจากนั้นคณะของ ร.อ.ธรรมนัส ไปลงพื้นที่ ฝายเชียงราย ต.เวียงเหนือ อ.เวียงชัย รับฟังบรรยายสรุปสถานการณ์สารปนเปื้อนในแม่น้ำกก
ร.อ.ธรรมนัส กล่าวว่า ปัญหาสารปนเปื้อนโลหะหนักในแม่น้ำกก แม่น้ำสาย แม่น้ำรวก แม่น้ำโขง มีต้นตออยู่ในประเทศเพื่อนบ้าน เราต้องไปเจรจากับผู้เป็นเจ้าของเหมือง ไม่ใช่ปล่อยให้สารพิษไหลลงสู่แหล่งน้ำ ทราบว่าเหมืองบางแห่งตั้งอยู่ในแม่น้ำ ซึ่งจะต้องแก้ไขที่ต้นตอ ในวันที่ 14 ตุลาคมนี้ ตนจะนำประเด็นสารปนเปื้อนโลหะหนักฯ เข้าหารือในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อมอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ หรือฝ่ายความมั่นคง เจรจาผ่านช่องทางทางการทูต และการทหาร จึงจะสามารถแก้ปัญหานี้ได้อย่างแท้จริง การแก้ปัญหาหรือวิเคราะห์วิจารณ์ที่ทำกันอยู่นั้น เป็นเพียงการแก้ที่ปลายเหตุ
ร.อ.ธรรมมนัส กล่าวว่า ในส่วนของหน่วยงานภายในประเทศ ได้มอบหมายให้กรมพัฒนาที่ดิน กรมวิชาการเกษตร และกรมชลประทาน พิจารณาแนวทางการดำเนินการที่ชัดเจนของความรับผิดชอบในหน่วยงาน สิ่งสำคัญคือการจัดหาแหล่งน้ำต้นทุนใหม่สำหรับการอุปโภคและบริโภค และการเกษตร รวมถึงการหาวิธีป้องกันไม่ให้สารหนูเป็นพิษละลายน้ำ ซึ่งเป็นภารกิจหลักที่กรมชลประทานต้องดำเนินการ
“กรณีในอ่างเก็บน้ำของชาวเชียงราย นอกจากแหล่งน้ำที่จะนำมาเป็นแหล่งน้ำดิบ น้ำแม่ลาวจากอ่างเก็บน้ำแม่สรวย หรือแม่คำ นั้น อ่างเก็บน้ำอื่น ๆ ก็ล่าช้ากำลังติดตาม บางทีผมอาจจะให้ดึงโครงการเข้ามาใช้งบประมาณปี 2570” รองนายกฯ กล่าว
ร.อ.ธรรมนัส กล่าวว่า ขอให้ประชาชนในพื้นที่จังหวัดเชียงรายอย่าตื่นตระหนก แต่ยืนยันว่าการแก้ไขปัญหาต้องทำอย่างครบวงจร ตั้งแต่ต้น กลาง จนถึงปลายเหตุ โดยในการประชุม ครม. จะขอให้แต่ละกระทรวงระดมความคิดและเสนอแนวทางแก้ไข เพื่อช่วยเหลือจังหวัดเชียงราย โดยในเรื่องการตรวจห่วงโซ่อาหาร ต้องให้อธิบดีกรมพัฒนาที่ดิน กรมประมง และกรมการข้าว ทำงานร่วมกัน ขณะที่กรมชลประทานต้องเร่งจัดหาแหล่งน้ำใหม่ สำหรับการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาในภาพรวม ตนจะตั้งคณะกรรมการเพื่อดูแลทุกเรื่อง โดยจะมอบหมายให้นายนเรศ ธำรงค์ทิพยคุณ รมช. เกษตรฯ เป็นประธานคณะกรรมการ และให้เจ้าหน้าที่ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมเป็นกรรมการด้วย ที่สำคัญที่สุดคือจะให้ผู้แทนจากพื้นที่จังหวัดเชียงรายเข้าร่วมเป็นกรรมการ เพราะหากใช้แต่ส่วนกลางมาแก้ไข จะไม่ทราบข้อเท็จจริงในพื้นที่ ซึ่งอาจทำให้การแก้ไขไม่ถูกจุดและไม่ประสบผลสำเร็จ
เมื่อถามถึงแนวทางการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุว่ารัฐบาลนี้จะดำเนินการอย่างไร รองนายกฯ กล่าวว่า ครม. จะสอบถามกระทรวงการต่างประเทศว่ามีการเตรียมการเจรจาอย่างไร สำหรับเจ้าของเหมืองนั้นทราบว่าเป็นกลุ่มทุน แต่หากเป็นพื้นที่ที่กลุ่มผู้ประกอบการที่ตนสนิทสนมอยู่ จะขอเข้าพูดคุยเพื่อหาทางแก้ไข
ส่วนกรณีการสร้างฝายดักตะกอนที่ชุมชนและภาคประชาสังคมยังคงมีความกังวลว่าจะไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ ร.อ.ธรรมนัส กล่าวว่า ตนได้รับข้อมูลจากนักวิชาการแล้ว และกลุ่มเครือข่ายเอ็นจีโอในพื้นที่ก็เป็นเครือข่ายของตนอยู่แล้ว ซึ่งได้เข้ามาเตือนให้ระมัดระวังและรับฟังความคิดเห็นของประชาชนเป็นหลัก
“เราคงต้องยอมรับผลการวิจัยของนักวิชาการที่ได้นำเสนอมาให้ผมแล้ว แต่จะต้องนำไปประชุมก่อน เพราะหากยังไม่มีข้อสรุปแล้วพูดออกไปอาจทำให้เกิดความเสียหายได้ ผมได้รับผลการวิจัยแล้ว และจะมอบหมายให้ นายนเรศ ไปศึกษาข้อมูลทั้งหมด พร้อมทั้งจะเชิญนักวิจัยและนักวิชาการมาหารือกันต่อไป โดยถือว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญที่ต้องรับฟังความคิดเห็นจากพวกเขา”รมว.เกษตรฯกล่าว
เมื่อถามถึงแผนการตรวจสอบห่วงโซ่อาหารเพราะอาจเป็นปัญหายืดเยื้อและไม่ทันสถานการณ์ รองนายกฯ กล่าวว่า เมื่อกลับไปจะมีการตั้งคณะกรรมการ โดยจะขอให้ผู้ว่าราชการจังหวัดและนายก อบจ. เข้าร่วมเป็นกรรมการด้วย รวมถึงผู้แทนจากหน่วยงานราชการและกลุ่มเอ็นจีโอในพื้นที่
ผู้สื่อข่าวสอบถามถึงแนวทางการหารือกับทางการจีน เนื่องจากเป็นผู้ครอบครองตลาดแร่หายาก (Rare Earth) ร.อ.ธรรมนัส กล่าวว่า ตอนนี้ขอคุยกับผู้นำรัฐฉานก่อนว่าเป็นอย่างไร จากนั้นอาจจะให้ผู้นำรัฐบาลหารือในระดับต่อไป
ผู้สื่อข่าวรายงานว่ามีตัวแทนชุมชน บ้านเวียงเดิม ต.เวียงเหนือ อ.เวียงชัยประมาณกว่า 100 คนได้ถือป้ายเรียกร้องให้รัฐบาลแก้ไขปัญหาเรื่องสารปนเปื้อนจากเหมืองต้นแม่น้ำกกและ ได้ยื่นหนังสือรองนายกฯ เพื่อแก้ไขปัญหาความเดือนร้อนจากสารปนเปื้อนในแม่น้ำกก
นายปฐมพงษ์ ฤทธิ์แผลง ประธานกลุ่มน้ำชลประทาน อ.เชียงชัย กล่าวว่า เกษตรกรรู้สึกกังวลในการตรวจดิน น้ำ และพืชในพื้นที่เมื่อผลผลิตออกมา เพราะกลัวว่าจะไม่สามารถขายได้ หากพบการปนเปื้อน และขอให้หาแหล่งน้ำใหม่ที่ไม่ปนเปื้อน โดยการฟื้นฟูสร้างฝายกั้นแม่น้ำลาว หากสร้างอ่างเก็บน้ำจะสามารถทำให้พื้นที่เกษตรทั้งตำบลที่มีกว่า 1 หมื่นไร่ มีน้ำเพียงพอต่อการทำการเกษตรได้