Search

ผู้เชี่ยวชาญรุมต้านลดค่ามาตรฐานสารหนูปนเปื้อนในน้ำจาก 0.01 มก/ลเป็น 0.05-เผยเสนอในที่ประชุมแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำ-ชี้ทำให้ประชาชนเสี่ยงมะเร็งมากขึ้น “สุชาติ”ยันรัฐบาลไม่มีแนวคิด

เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2568 น.ส.สมพร เพ็งค่ำ นักวิจัยอิสระและผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาระบบประเมินผลกระทบทางสุขภายโดยชุมชน ( Community Health Impact Assessment Platform หรือCHIA Platform) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่มีข้อเสนอในที่ประชุมคณะอนุกรรมการแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำในแหล่งน้ำผิวดินซึ่งมีนายสุชาติ ชมกลิ่น รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ให้ลดค่ามาตรฐานปนเปื้อนสารหนูจากปัจจุบันที่อ้างอิงองค์การอนามัยโลก 0.01 มก/ล เป็น 0.05 มก/ล โดยอ้างว่าหลายประเทศได้ใช้มาตรฐานนี้โดยเฉพาะพม่าซึ่งอ้างว่ามาตรฐานสารโลหะหนักในแม่น้ำกกและแม่น้ำสายไม่เกินมาตรฐานของตนเอง ว่าไม่เห็นด้วยที่จะมีการเปลี่ยนค่ามาตรฐานสารหนูในน้ำ เพระเป็นการลดมาตรฐานการปกป้องสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประเทศไทย ที่ผ่านมาเราได้พัฒนามาจนอยู่ในมาตรฐานสากลแล้วในขณะที่หลายประเทศยังไม่ทำไม่ได้ เพราะไม่มีความพร้อมทางวิชาการและห้องปฏิบัติการ ทำให้ประชาชนประเทศนั้นยังตกอยู่ในความเสี่ยงจากสารหนูที่เป็นสารก่อมะเร็ง

นส.สมพรกล่าวว่า เป้าหมายสำคัญของการกำหนดค่ามาตรฐานสารหนูในน้ำ คือ การปกป้องสุขภาพของประชาชนเนื่องจากสารหนูเป็นสารก่อมะเร็ง ทั้งนี้องค์การอนามัยโลกรวมถึงประเทศไทยได้มีการปรับค่ามาตรฐานมาเป็นลำดับเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป โดยเมื่อพ.ศ. 2501 มาตรฐานสากลสำหรับน้ำดื่มขององค์การอนามัยโลก (WHO International Standards for Drinking-water) ได้แนะนำให้กำหนด ความเข้มข้นสูงสุดของสารหนูไม่เกิน 0.2 มิลลิกรัมต่อลิตร (mg/L) แต่หลังจากได้มีหลักฐานทางวิชาการและงานวิจัยเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลกระทบต่อสุขภาพมนุษย์ ที่บ่งชี้ว่าสารหนูอนินทรีย์เป็น สารก่อมะเร็งในมนุษย์ (Group 1 carcinogen) ประกอบกับห้องปฏิบัติการและเครื่องมือมีการพัฒนาให้มีขีดความสามารถในการวัดค่าการปนเปื้อนได้ต่ำมากขึ้น ทำให้ปี พ.ศ. 2506 องค์การอนามัยโลกได้ปรับค่าเป็น 0.05 mg/L และในปี พ.ศ. 2536 กำหนดเป็น 0.01 mg/L

นักวิจัยอิสระกล่าวว่า สำหรับการกำหนดค่ามาตรฐานสารหนูในน้ำของประเทศไทย เริ่มครั้งแรกในปี พ.ศ. 2524 โดยประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 61 เรื่อง “น้ำบริโภคในภาชนะบรรจุที่ปิดสนิท” กำหนดค่ามาตรฐานสารหนู (As) ≤ 0.05 มก./ลิตร (mg/L) ต่อมา ประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 256 พ.ศ. 2545 ประเภทน้ำบริโภคในภาชนะบรรจุที่ปิดสนิท (ปรับปรุงครั้งใหญ่) ยังคงใช้ค่า ≤ 0.05 มก./ลิตร แม้ว่าองค์การอนามัยโลก จะได้ปรับเกณฑ์สารหนูสำหรับน้ำดื่มเป็น 0.01 mg/L ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2536 ต่อมากรมอนามัยได้ออกเกณฑ์คุณภาพน้ำประปาดื่มได้ พ.ศ. 2553 ส่วนใหญ่เริ่มอิง WHO แต่ยังคงใช้บางค่าตามประกาศเดิม ซึ่งเป็นช่วงเตรียมใช้มาตรฐานใหม่ จนกระทั่ง พ.ศ. 2563 ได้มีการปรับครั้งสำคัญ โดย กำหนดค่ามาตรฐานสารหนู (As) ≤ 0.01 มก./ลิตร (mg/L) ซึ่งถือเป็นการปรับค่ามาตรฐานให้สอดคล้องกับองค์การอนามัยโลก WHO อย่างเป็นทางการในภาคน้ำประปาและใช้สำหรับการตรวจเฝ้าระวังน้ำประปาทั่วประเทศ

น.ส.สมพรกล่าวว่า การกำหนดเกณฑ์มาตรฐานมีไว้เพื่อปกป้องสุขภาพของประชาชนตามหลักการป้องก้นไว้ก่อน จากข้อมูลพัฒนาการดังกล่าวข้างต้นจะเห็นได้ว่า การปรับปรุงเปลี่ยนแปลงแต่ละครั้ง จะมีเหตุผล หลักฐานทางวิขาการรองรับ ไม่ว่าจะเป็น เหตุผลด้านพิษวิทยาและระบาดวิทยา ที่ค้นพบว่า สารหนูอนินทรีย์ในน้ำดื่ม (inorganic arsenic) ถูกยืนยันชัดเจนว่าเป็น สารก่อมะเร็งในมนุษย์ มีความสัมพันธ์กับมะเร็งผิวหนัง ปอด กระเพาะปัสสาวะ และผลกระทบเรื้อรังอื่น ๆ เช่น โรคหัวใจ เบาหวาน ฯลฯ จากหลักฐานระบาดวิทยาใหม่ ๆ WHO จึง ปรับเกณฑ์จาก 0.05 มาเป็น 0.01 mg/L และระบุเหตุผลตรงๆ ว่า เพราะความกังวลด้านฤทธิ์ก่อมะเร็งในคนอีกทั้งห้องแล็บก็สามารถตรวจได้อย่างน่าเชื่อถือในเวลานั้น

“เมื่อเทคโนโลยีการตรวจและระบบบำบัดของประเทศสามารถรองรับได้ การกำหนดค่ามาตรฐานให้สอดคล้องกับระดับที่ปลอดภัยกว่าสอดคล้องกับสากล จึงเป็นสิ่งที่เหมาะสม หากจะมีการปรับเกณฑ์ให้ย้อนกลับไปที่ 0.05 mg/l ก็เท่ากลับว่าเราถอยหลังกลับไปเกือบ 30ปี ต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐานสากล และพาประชาชนไทยเข้าไปสู่ความเสี่ยงอันตรายต่อสุขภาพจากพิษของสารหนู ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ควรกระทำเป็นอย่างยิ่ง สิ่งที่ควรกระทำคือการไปจัดการที่แหล่งกำเนิดมลพิษ นั่นคือ หยุดการทำเหมืองแร่ที่ต้นน้ำ”นส.สมพร กล่าว

ผศ.ว่าน วิริยา ผู้ช่วยหัวหน้าศูนย์วิจัยวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่(มช.) กล่าวว่าในฐานะที่ทำงานวิจัยด้านเคมีสิ่งแวดล้อมและติดตามโลหะหนักมาโดยตลอด ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งหากมีการปรับเปลี่ยนค่ามาตรฐานให้ลดลงเหลือ 0.05 มก/ล เพราะเรื่องนี้ไม่ใช่แค่เรื่องของตัวเลข แต่เป็นเรื่องของ สุขภาพและชีวิตของประชาชนโดยตรง โดยมาตรฐานสากลที่เราใช้อยู่ปัจจุบัน คือค่าที่องค์การอนามัยโลก (WHO) กำหนดไว้

“ นี่คือมาตรฐานสากลที่ทั่วโลกยอมรับเพื่อการคุ้มครองสุขภาพ เราต้องไม่ลืมว่าสารหนู ถูกจัดเป็น สารก่อมะเร็งกลุ่มที่ 1 หมายความว่ามีหลักฐานชัดเจนว่า ก่อมะเร็งในมนุษย์ การที่เราจะอมให้มีสารก่อมะเร็งตัวนี้ในน้ำดื่มเพิ่มขึ้นถึง 5 เท่า (จาก 0.01 เป็น 0.05) มันคือการจงใจเพิ่มความเสี่ยงให้ประชาชน ผลกระทบระยะยาวแม้จะดื่มในปริมาณที่ดูเหมือนน้อย แต่สารหนูมันสะสมในร่างกาย ก่อให้เกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรังมากมาย ไม่ใช่แค่โรคมะเร็ง แต่รวมถึงโรคผิวหนัง โรคหลอดเลือดและหัวใจ”ผศ.ว่านกล่าว

ผศ.ว่านกล่าวว่า การลดค่ามาตรฐานจะสวนทางกับการพัฒนาในขณะที่ทั่วโลกพยายามหาเทคโนโลยีมาบำบัดน้ำให้สะอาดที่สุด หรือพยายามกดค่ามาตรฐานให้ต่ำลง เช่น บางที่ในยุโรปพยายามไปที่ 0.005 แล้วการที่เราจะขยับมาตรฐานให้ “แย่ลง” มันคือการเดินถอยหลัง ถ้าตนเข้าใจไม่ผิดว่าอาจจะมีประเด็นเรื่องต้นทุนการจัดการหรือการตรวจวัด แต่เราไม่ควรเอาต้นทุนมาแลกกับสุขภาพของประชาชนในระยะยาวหน้าที่ของเราคือการปกป้องพวกเขา ดังนั้นการปรับค่าเป็น 0.05 mg/L จึงเป็นสิ่งที่ตนไม่สามารถยอมรับได้และคิดว่าคนส่วนมากก็คิดแบบตนเพราะเราห่วงประชาชนบ้านเรา

น.ส.เพ็ญโฉม แซ่ตั้ง ผู้อำนวยการมูลนิธิบูรนิเวศ กล่าวว่า สารหนูเป็นสารที่มีอันตรายต่อสุขภาพสูง การที่ คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำในแหล่งน้ำ จะแก้ปัญหาสารหนูในแม่น้ำกกและแม่น้ำสายที่ได้รับผลกระทบจากการทำเหมืองในพม่า ด้วยการปรับค่ามาตรฐานของสารหนูในแหล่งน้ำจากเดิมต้องไม่เกินกว่า 0.01 มิลลิกรัม/ลิตร จะเป็นไม่เกินกว่า 0.05 มิลลิกรัม/ลิตร เป็นวิธีการแก้ปัญหาที่จะผลักดันความเสี่ยงอันตรายไปให้ประชาชนที่รอคอยความช่วยเหลือ การปรับค่ามาตรฐานฯ ดังกล่าว นอกจากไม่ได้ช่วยเหลือประชาชนแล้ว ยังจะทำให้สังคมทั่วไปเชื่อว่า ปัญหาการปนเปื้อนสารหนูในแม่น้ำกก แม่น้ำสาย และแม่น้ำรวกมีสถานการณ์ดีขึ้นแล้ว เป็นการสร้างความเข้าใจที่ผิดต่อสังคม และอาจจะเพิ่มความเสี่ยงที่จะทำให้ชาวบ้านในพื้นที่ใช้สอยน้ำและสัมผัสน้ำดโดยไม่ได้ระวัง ซึ่งจะทำให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพหนักกว่าเดิม

ด้านนายสุชาติ ชมกลิ่น รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า การเผยแพร่ข่าวว่า รัฐบาลพยายามผลักดันการแก้ปัญหาจากปรับค่าสารหนู จาก 0.01 มก./ล.เป็น 0.05 มก./ล. ตามมาตรฐานประเทศ จีน มาเลเซีย เวียดนาม และอีกหลายประเทศที่ใช้ รวมถึงตรงกับมาตรฐานของเมียนมา ที่เป็นต้นเหตุและที่มาของแหล่งน้ำที่ทำให้เกิดปัญหาสารหนูดังกล่าว ในฐานะประธานคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ขอยืนยันว่า รัฐบาลไม่มีแนวคิดที่จะปรับค่ามาตรฐานแหล่งน้ำผิวดิน จากค่ามาตรฐานไม่เกิน 0.01 มก./ล.ไปเป็น 0.05 มก./ล. ตามที่เป็นข่าว และรัฐบาลพร้อมฟังเสียงจากประชาชนและทุกภาคส่วน

On Key

Related Posts

นักวิชาการแนะรัฐไทยเร่งหารือประเทศลุ่มน้ำโขงหลังตรวจพบสารหนูเกินค่ามาตรฐานใน จ.เลย-หนองคาย-บึงกาฬ-นครพนม ภาคประชาชนจี้รัฐแจ้งความจริงให้ชาวบ้านทราบ-หาแนวทางปฎิบัติ-หวั่นหลายเมืองใช้น้ำโขงผลิตน้ำประปาได้รับผลกระทบ