ภาสกร จำลองราช

การที่กองกำลังพิทักษ์ชายแดนกะเหรี่ยงหรือกะเหรี่ยง BGF (Karen Border Guard Force) นำโดย พ.อ.ชิต ตู ยอมทำลายตึกอาคารต่างๆในเคเคปาร์คนับร้อยหลัง จนทำให้เคเคปาร์คกลายเป็นเมืองร้าง
พ.อ.ชิต ตูยังเดินหน้าเปิดปฏิบัติการกวาดล้างแหล่งสแกมเมอร์ในชเวก๊กโก่ จนทำให้จีนดำ จีนเทาและเหยื่อชาวจีน รวมถึงชาวต่างชาติแตกตื่นพากันอพยพโยกย้ายกันจ้าละหวั่น ตั้งแต่คืนวันที่ 17 พฤศจิกายน 2568
เกิดคำถามใหญ่ว่า อะไรคือพลังทรงอานุภาพกันแน่ที่เป็นสาเหตุทำให้ พ.อ.ชิตตู และ BGF จึงตัดสินใจเช่นนี้ เพราะลำพังแค่แรงกดดันจากกองทัพพม่านั้น คงไม่เพียงพอ
กองกำลังกะเหรี่ยงที่ยึดครองพื้นที่ริมแม่น้ำเมยตรงข้ามกับ จ.ตาก มีด้วยกันหลัก 3 กลุ่ม คือ 1.สหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยงหรือเคเอ็นยู(Karen National Union-KNU) โดยมีหน่วยงานด้านการทหารชื่อว่ากองกำลังปลดปล่อยชาติกะเหรี่ยง(Karen National Liberation Army–KNLA)
2.กองกำลังกะเหรี่ยง BGF ซึ่งพยายามสร้างภาพพจน์ใหม่ให้ตัวเองเสมอและเปลี่ยนชื่อเป็นกองทัพแห่งชาติกะเหรี่ยงหรือเคเอ็นเอ (Karen National Army-KNA)
3.กองทัพกะเหรี่ยงพุทธประชาธิปไตยหรือดีเคบีเอ (Democratic Karen Buddhist Army – DKBA) เปลี่ยนเป็นกองทัพกะเหรี่ยงผู้บำเพ็ญประโยชน์เพื่อประชาธิปไตย (Democratic Karen Benevolent Army) แต่บางปีกก็ยังใช้ชื่อเดิมอยู่
ปัจจุบัน กะเหรี่ยง BGF มีความเข้มแข็งในระดับหนึ่ง เนื่องจากมีรายได้ที่ดีจากธุรกิจสีดำและสีเทา โดยแหล่งรายได้หลักมาจากชเวก๊กโก่และเคเคปาร์ค ทำให้สามารถสั่งสมอาวุธยุทโธปกรณ์และกำลังพลไว้ได้เยอะ ประเมินกันว่าปัจจุบัน BGF มีกำลังพลอยู่ราว 10,000-15,000 คน เพราะการเป็นทหาร BGF มีเงินเดือนและสวัสดิการที่ดีแตกต่างกองกำลังกะเหรี่ยงกลุ่มอื่นๆ จนมีเรื่องเล่ากันว่าทหารกะเหรี่ยงกลุ่มอื่นที่ยากจนต้องเอากำลังพลมาฝากให้ BGF เลี้ยงดู
จากกองกำลังกะเหรี่ยงกลุ่มเล็กๆแยกตัวออกมาจาก KNU ตั้งแต่ พศ. 2537 โดยอ้างว่า KNU ในยุคนั้นเต็มไปด้วยผู้นำที่นับถือศาสนาคริสต์ และ พ.อ.ชิตตูได้ร่วมจัดตั้งกองทัพกะเหรี่ยงพุทธประชาธิปไตย (Democratic Karen Buddhist Army-DKBA) และร่วมมือกับกองทัพพม่าโจมตีฐานที่มั่น KNU ที่มาเนอร์ปลอว์จนแตก
ต่อมาได้เปลี่ยนเป็นกองกำลังพิทักษ์ชายแดนกะเหรี่ยง หรือ กะเหรี่ยง BGF ตามรัฐธรรมนูญฉบับทหารพม่าเมื่อ พศ. 2553 โดยรับมอบอำนาจขึ้นตรงกับกองทัพพม่า
การที่ BGF สายตรงอยู่กับอำนาจจากกองทัพพม่า ขณะเดียวกันสายสัมพันธ์ของ พ.อ.ชิตตูกับผู้นำ KNU ในบางปีกก็ยังคงแนบแน่นกันอยู่ ดังนั้นเมื่อมีการก่อตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษชเวก๊กโก่ เหล่านักธุรกิจจีนที่มาลงทุนจึงสามารถต่อสายตรงกับรัฐบาลทหารพม่าได้อย่างสะดวก
จากนั้นได้มีการขยายธุรกิจไปยังเคเคปาร์ค ซึ่งที่ดินบางส่วนเป็นของ KNU แต่ BGF ก็สามารถได้รับไฟเขียวให้ดำเนินกิจกรรมได้อย่างฉลุย
บทบาทของ พ.อ.ชิตตูที่พลิ้วไหวลู่ตามลมอยู่ตลอดเวลา ทำให้เขาสามารถนำพากิจการของชเวก๊กโก่และเคเคปาร์คเติบโตอย่างรวดเร็ว ในยามที่กองทัพพม่าอ่อนแอและเพลี่ยงพล้ำ เขาสามารถข้ามฟากมาจับมือกับ KNUและฝ่ายต่อต้าน โดยมีคำว่า “พี่น้องกะเหรี่ยง” เป็นจุดเกาะเกี่ยว และคำว่า “ผลประโยชน์” เป็นเครื่องมือประสาน แต่เมื่อใดที่กองทัพพม่าเข้มแข็งเขาก็หันหลังกลับทิศได้โดยเร็ว ยกเว้นครั้งนี้ที่ดูเหมือนจะไม่ใช่
ที่สำคัญคือเขาสามารถประสานผลประโยชน์กับฝั่งไทยได้อย่างลงตัว ตั้งแต่ข้าราชการ-นักการเมือง-นักธุรกิจในระดับพื้นที่ต่างได้รับการจัดสรรผลประโยชน์ข้ามแม้น้ำเมยกันอย่างทั่วถึง แถมยังสามารถต่อท่อส่วยมาถึงใจกลางอำนาจของประเทศได้
เพราะฉะนั้นอย่าแปลกใจที่ทุกวันนี้ แม้หลายประเทศยักษ์ใหญ่ต่างขึ้นบัญชีดำและต้องการตัว พ.อ.ชิตตู แต่ สำหรับประเทศไทยแม้แต่หมายจับยังไม่มี เพียงแค่มีสะเก็ดข่าวชั่วครู่แล้วก็ดับลงในเวลาอันรวดเร็ว ทุกวันนี้เส้นทางการเงินของ พ.อ.ชิตตู ยังได้รับการคุ้มครองจากใครบางคนในฝั่งไทย
หากมีการสืบสาวเส้นเงินของ พ.อ.ชิตตูและเครือข่ายกันจริงๆ หลายคนที่มีอำนาจในไทยคงหนาวแน่
การระเบิดตัวเองในเคเคปาร์คของกองกำลังกะเหรี่ยง BGF แม้มีกระแสข่าวว่าเกิดจากแรงกดดันของทหารพม่าที่ต้องการสร้างภาพบุกทำลายแหล่งสแกมเมอร์ริมแม่น้ำเมย แรกทีเดียวหลายคนเชื่อว่าเป็นเพียงละครฉากเล็กๆที่รัฐบาลทหารพม่าร่วมมือกับ BGF ทำการแสดงใช่ช่วงประชุมอาเซียน และก่อนที่จะมีการเลือกตั้งพม่าในเดือนธันวาคมและมกราคม
บางคนมองว่าเกมนี้อาจเป็นเพราะ พ.อ.ชิตตู่ ต้องการใช้มือทหารพม่า กำราบ “ตินวิน”ผู้นำ BGF อีกคนหนึ่งที่คุมเคเคปาร์ค และดูเหมืองช่วงหลังตินวินซึ่งทรงอิทธิพลมากขึ้น จะใกล้ชิดกับทาง DKBA อย่างแนบแน่น
อย่างไรก็ตามเมื่อ พ.อ.ชิตตู สั่งให้ BFG เปิดปฎิบัติการล้างบางสแกมเมอร์เข้าไปในชเวก๊กโก่ จึงเกิดข้อสงสัยว่า พ.อ.ชิตตูได้รับแรงกดดันให้ทำลายล้างอาชญากรข้ามชาติจริงๆหรือเป็นเพียงเกมอำนาจใน BGF และเป็นช่วงจังหวะเหมาะสมที่ผสมโรงกับรัฐบาลทหารพม่า
ขณะเดียวกันกองกำลัง DKBA ก็เตรียมที่จะเปิดปฎิบัติการทำลายแหล่งสแกมเมอร์ในพื้นที่ช่องแคบด้วยเช่นเดียวกัน
คำถามที่ต้องหาคำตอบกันต่อไปคือ พลังมหาศาลที่เป็นแรงกดดันทำให้เหล่ากองกำลังกะเหรี่ยงเทา 2 กลุ่มยอมทิ้งฐานที่มั่นและขุมประโยชน์ริมแม่น้ำเมยคืออะไร หรือทั้งหมดเป็นเพียงหมากเกมของเหล่าอาชญากรข้ามชาติที่จะยักย้ายถ่ายเทไปสู่แหล่งใหม่ เนื่องจากรังนี้ไม่ปลอดภัย
หากดูจากภาพแผนที่เห็นได้ว่าพื้นที่ในแต่ละโซนของแหล่งอาชญากรรมโดยเฉพาะชเวก๊กโก่และเคเคปาร์คอยู่ติดกับเมืองแม่สอดโดยมีเพียงลำน้ำเมยกั้นซึ่งเป็นชัยภูมิที่ทหารพม่าเข้าถึงยากเพราะเสี่ยงกับการกระทบกระทั่งกับทางการไทย ขณะเดียวกัน BGF ได้วางกำลังพลควบคุมเข้าไปถึงเมืองเมียวดี ขณะที่พื้นที่รอบนอกอยู่ในการดูแลของ KNU
หากทหารพม่าจะบุกเข้าทำลาย เคเคปาร์คและชเวก๊กโก่โดยที่ BGF ไม่ยินยอมย่อมไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะนอกจากต้องรบกับกำลังพลนับหมื่นแล้ว ยังมีกองกำลังกะเหรี่ยงที่เป็นพันธมิตร และกองกำลัง PDF (People’s Defence Force)ซึ่งพร้อมที่จะรบกับทหารพม่าอยู่เสมอ
ขณะเดียวกันการเคลื่อนไหวของจีนผ่านรัฐบาลทหารพม่า การเคลื่อนไหวของสหรัฐฯในเรื่องแรร์เอิร์ธ การเคลื่อนไหวของรัสเซียที่กำลังเข้ามาลงทุนด้านนิวเคลียร์ในเมืองทวาย ล้วนแล้วแต่เป็นปัจจัยที่ชวนนำมาวิเคราะห์ด้วยทั้งสิ้น
เช่นเดียวกับการเคลื่อนไหวของไทยที่เรายังไม่รู้แน่ว่าจะเป็นไปทิศทางใด แต่ที่แน่ๆคือระบบส่วยที่ส่งข้ามแม่น้ำเมยยังคงสร้างความร่ำรวยให้กับใครหลายคนในขบวนการ ขณะที่การแก้ไขปัญหาแหล่งอาชญากรรมฝั่งเมียวดีที่ใช้ประเทศไทยเป็นระเบียงธุรกิจ ก็ยังไม่มีการปราบปรามอย่างจริงจังเพราะไม่มีการรื้อถอนโครงสร้างใดๆของขบวนการอาชญากรข้ามชาติกลุ่มนี้เลย
ในวันที่คุณอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี เดินทางลงพื้นที่แม่สอด กลับคิดอยู่ในกรอบเดิมๆที่ข้าราชการนำเสนอ แทบไม่มีการพูดถึงเรื่องทุจริตคอรัปชั่น ทั้งๆที่คุณอนุทินยืนอยู่ในแหล่งส่วยใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของบ้านเมือง
นอกจากนี้คุณอนุทินยังแยกไม่ออกระหว่าง “เหยื่อ”กับ “สแกมเมอร์” ทำให้คิดเพียงที่จะส่งทุกคนกลับประเทศต้นทางโดยไม่สนใจที่จะรีดข้อมูลจากคนเหล่านี้เหมือนที่รัฐบาลจีน และนานาอารยะประเทศเขาทำกัน เพื่อที่จะสืบสาวให้ถึงกลุ่มขบวนการอาชญากรข้ามชาติเหล่านี้
วันนี้แหล่งอาชญากรรมประเทศเพื่อนบ้านกำลังถูกปราบปรามอย่างหนัก แทนที่ประเทศไทยจะได้อานิสงส์ที่ทำให้บ้านเมืองขาวใสขึ้นไปด้วย แต่กลับกลายเป็นว่าสีดำสีเทาจะรอบบ้านซึมเข้ามาผสมโรงกับสีเทาดำที่แอบแฝงอยู่ในอนูต่างๆของประเทศ และรัฐบาลไทยไม่เข้าไปจัดการตัวเองเพราะกลัวหยิกเล็บเจ็บเนื้อ ในที่สุดประเทศไทยจะกลายเป็นพื้นที่สีเทาโดดเด่นในภูมิภาคและกำลังไต่สู่อันดับโลก



