เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2568 พล.ต.ไมตรี ชูปรีชา ผู้บัญชาการกองกำลังนเรศวร ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่มีชาวต่างชาติหนีข้ามแม่น้ำเมยจากสแกมเซ็นเตอร์ “มินละปาน”ทางตอนใต้ของเมืองเมียวดี ประเทศพม่า ตรงข้ามบ้านห้วยมหาวงศ์ ต.มหาวัน อ.แม่สอด จ.ตาก ซึ่งเป็นพื้นที่ของกองกำลังกะเหรี่ยงDKBA (Democratic Karen Benevolent Army) มายังฝั่งไทย ภายหลังจากพื้นที่ดังกล่าวถูกกองกำลังกะเหรี่ยง KNLA (Karen National Liberation Army)หน่วยงานด้านการทหารของ สหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง (Karen National Union-KNU) ยึดไว้ได้ ว่าก่อนหน้านี้ได้มีชาวต่างชาติข้ามมาจากพื้นที่ที่ KNU ควบคุมแล้วชุดหนึ่งราว 600 คนส่วนใหญ่เป็นคนจีน ซึ่งทางการไทยได้ดำเนินการคัดแยก ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งที่กำลังรอข้ามฟากจากฝั่งเมียวดีประมาณ 300-400 คนซึ่งยังไม่มีการให้ข้ามมาโดยยังอยู่ในการควบคุมของกองกำลังทหารบนฝั่งเมียวดี
ผู้สื่อข่าวถามว่าตามนโยบายของรัฐบาลไทยเมื่อมีเหยื่อหรือกลุ่มสแกมต้องการข้ามมานั้น เป็นอย่างไร พล.ต.ไมตรีกล่าวว่า การจะรับหรือไม่ขึ้นอยู่กับความพร้อมของกระบวนการระหว่างประเทศ แต่ที่สำคัญสุดคือเราต้องควบคุมสถานการณ์ให้ได้ เช่น การลักลอบข้ามมา เป็นเรื่องที่เราไม่พึงประสงค์ ซึ่งต้องมีความพร้อมทั้งฝ่ายไทย ระหว่างประเทศและฝ่ายที่ส่งตัวมา ทั้งหมดอยู่บนพื้นฐานของมนุษยธรรม
“การร่วมมือกันระดับชาติควรต้องมี เพราะทำให้ไหลได้ ส่วนคนของเราพร้อมแค่ไหน เมื่อปีที่แล้วมีคนต่างชาติหนีข้ามมาเยอะ แต่ละหน่วยงานก็เพิ่มเจ้าหน้าที่ของเข้าไป”พล.ต.ไมตรี กล่าว
ผบ.กองกำลังนเรศวรกล่าวว่า เมื่อรับชาวต่างชาติเข้ามาแล้วอย่างน้อยคนกลุ่มนี้มีความผิดข้อหาเข้าเมืองผิดกฏหมาย แต่จะเป็นสแกมเมอร์หรือเป็นเหยื่อหรือไม่ ทางตำรวจและพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์(พม.)จะเข้ามาสัมภาษณ์หรือคัดกรอง หากเป็นเหยื่อก็เข้าสู่กลไก NRM แต่หากเป็นสแกมเมอร์ทางตำรวจจะดำเนินการเป็นพิเศษ
ผู้สื่อข่าวถามว่ากรณีที่แหล่งสแกมแตกเกิดถี่ขึ้นเรื่อยๆเพราะฝั่งเมียวดีมีการสู้รบกัน คิดว่าควรทำแผนรับมือไว้อย่างไรเพราะบางทีมีชาวต่างชาติอพยพข้ามมาคราวละนับพันคน พล.ต.ไมตรีกล่าวว่า รูปแบบคือเราต้องประสานฝั่งนู้นในการควบคุม ถ้ามีความจำเป็นถึงขึ้นกระทบต่อชีวิตของพวกเขา เรายอมรับได้ที่จะเอาข้ามมา แต่ต้องมีความพร้อมของเราด้วย ทั้งเรื่องเจ้าหน้าที่และการส่งต่อ ที่สำคัญสุดคือเราต้องควบคุมสถานการณ์ให้ได้
ผู้สื่อข่าวถามว่า มีชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบจากการสู้รบขอข้ามมาพักฝั่งไทยได้หรือไม่ พล.ต.ไมตรีกล่าวว่า ถ้าเป็นชาวบ้านที่หนีภัยการสู้รบซึ่งเป็นคนพม่าหรือกะเหรี่ยง ไม่ใช่กลุ่มคนที่เป็นสแกมเมอร์ เรามีแผนรองรับ เช่น เมื่อ 4-5 วันก่อนมีชาวพม่ากว่าร้อยคนหนีภัยการสู้ข้ามมา เราก็ใช้ท่าข้ามในการดูแลโดยส่งเจ้าหน้าที่ต่างๆไปร่วมดูแล อย่างไรก็ตามครั้งนี้ยังไม่มีชาวบ้านที่หนีภัยการสู้รบข้ามมาซึ่งหากเขาหนีภัยการสู้รบมาจริงเราก็พร้อมให้การช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม
ด้าน ผศ.ลลิตา หาญวงษ์ อาจารย์คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวว่า การที่ KNU เข้าไปปราบ DKBA ในพื้นที่มินละปานเพราะหากปล่อยให้ทหารพม่าเข้ามาในพื้นที่นี้ได้ก็จะทำให้ทหารพม่ากลับเข้ามายึดครองพื้นที่บริเวณนี้ได้ และจากการที่รัฐบาลทหารพม่าได้ขึ้นบัญชีให้ KNU เป็นกลุ่มผู้ก่อการร้ายเพื่อทำลายภาพลักษณ์ของ KNU ดังนั้นครั้งนี้ KNU จึงต้องการสื่อสารให้โลกว่า พวกเขาไม่เกี่ยวกับสแกมจึงพยายามเคลียร์ตัวเอง
ผศ.ลลิตากล่าวว่า สถานการณ์ที่เกิดขึ้นโดยชาวต่างชาติยังไม่สามารถข้ามฟากมาได้นั้น เป็นปัญหาเดิมๆหากคนกลุ่มนี้ถูกส่งตัวมาจากกองกำลัง BGF หรือ DKBA ทางการไทยคงจะตัดสินใจได้ง่ายกว่านี้เพราะทั้ง 2 กองกำลังต่างก็ประสานกับรัฐทหารพม่าได้ แต่พอเป็น KNU ก็ยากขึ้นเพราะ KNUแทบจะไม่มีช่องทางการสื่อสารกับรัฐบาลทหารพม่าได้เลย ขณะที่กระทรวงการต่างประเทศไทยเองก็บอกว่าต้องรอรายชื่อชาวต่างชาติ 2,000 คนจากกระทรวงการต่างประเทศพม่าก่อน แต่โดยข้อเท็จจริงแล้วเป็นเรื่องยากที่จะได้รายชื่อเหล่านี้ ขณะที่ทางการไทยจะไปรับตัวชาวต่างชาติกลุ่มนี้มาจากทหาร KNU ก็เกรงว่ารัฐบาลทหารพม่าจะโกรธ
“แก้ปัญหาเฉพาะหน้า อาจต้องช่วยเบื้องต้นไปก่อน เช่น การส่งเสบียง การหาเต็นท์ให้คนที่กำลังรอข้ามฟาก เพื่อช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมไปก่อน ทางการไทยต้องเร่งรัดประสานกับพม่าเพื่อให้มีการส่งตัวข้ามมา และฝั่งไทยต้องมีการเตรียมตัวไว้เพราะหากข้ามมาเยอะ จะรับได้แค่ไหน รัฐบาลหรือนสภาความมั่นคงแห่งชาติ(สมช.)ก็ต้องมีความช่วยเหลือลงไปตรงนี้ ควรตั้งเป้าหมายให้ชัดว่าจะทำให้สแกมเซ็นเตอร์หมดไป”ผศ.ลลิตา กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า กรณีที่ชาวต่างชาติหนีจากแหล่งสแกมคราวละมากๆเริ่มถี่ขึ้น รัฐบาลควรมีแผนรับมืออย่างไร ผศ.ลลิตากล่าวว่า รัฐบาลไทยควรมีแผนปฎิบัติที่ชัดเจนซึ่งเข้าใจว่า สมช.คงเตรียมไว้แล้ว แต่ สมช.เป็นฝ่ายนโยบาย ซึ่งในทางปฎิบัติยังเป็นไปได้ยากในพื้นที่ โดยรัฐบาลต้องมีนโยบายที่แน่วแน่ แม้ว่านายกรัฐมนตรีได้ประกาศในที่ประชุมอาเซียนไว้สวยหรูที่จะเป็นผู้นำในการปราบปรามสแกมเซ็นเตอร์ แต่ทุกวันนี้ในทางปฎิบัติ นายกรัฐมนตรีต้องมีการสั่งการไปยังหน่วยงานต่างๆอีกมาก และควรมีคณะทำงานแก้ไขปัญหาในพื้นที่อย่างจริงจัง
“ตอนนี้ในพื้นที่ระดับจังหวัดแบกรับปัญหาไม่ไหวแล้ว เพราะชาวต่างชาติหนีข้ามเข้ามาทีละนับพันคน ซึ่งทางจังหวัดต้องยอมรับความเป็นจริงก่อนว่า ทำไม่ไหวแล้ว เพื่อที่จะได้ทำเรื่องขอการสนับสนุนมาทาง สมช. หรือแจ้งไปที่กองทัพ แต่ตอนนี้เมื่อทางจังหวัดยังบอกว่ายังไหวอยู่ ทาง สมช.หรือกองทัพก็ไม่สามารถลงไปช่วยได้ ท่านต้องประมินให้ได้ว่า ยังมีชาวต่างชาติอีกนับพันนับหมื่นที่จะข้ามมา”ผศ.ลลิตา กล่าว
สำหรับสถานการณ์ในพื้นที่ริมแม่น้ำเมย จ.ตากในวันนี้ตั้งแต่ช่วงเช้าตรู่จนถึงช่วงเย็น ทหารพม่ายังคงยิงโจมตีทหารฝ่ายต่อต้านที่วางกำลังสกัดกั้นอยู่บริเวณเส้นทางพื้นที่ป่าสัก หมู่บ้านมินละป่าน โดยจุดยิงปะทะอยู่ห่างจากแนวชายแดนไทยติดริมแม่น้ำเมยไปไม่ถึง 1 กิโลเมตร ทั้งนี้ทหารเมียนมาใช้อาวุธหนักระดมยิงเข้าไปในพื้นที่ตั้งของฝ่ายต่อต้าน เสียงระเบิดและปืนกลดังไปทั่วแนวชายแดนไทย-เมียนมา
ขณะที่กองกำลังฝ่ายต่อต้านได้ระดมยิงเครื่องยิงลูกระเบิด พร้อมยิงปืนกลตอบโต้ไปยังทหารเมียนมาด้วยเช่นกัน ทำให้มีเสียงดังจากการสู้รบเป็นระยะๆตลอดทั้งวัน ส่วนชาวต่างชาติที่รอข้ามฟากอยู่ริมแม่น้ำเมยมีเพิ่มจำนวนมากขึ้นโดยได้มีการสร้างเพิงพักติดริมแม่น้ำเมย เพื่อเป็นที่พักอาศัยเพราะยังไม่แน่ใจว่าจะได้ข้ามฟากมาไทยเมื่อไร โดยKNUได้จัดอาหารให้วันละ 2 มื้อ







