เมื่อวันที่ 8 มิถุนายน นายกมล เปี่ยมสมบูรณ์ ประธานสภาเครือข่ายลุ่มน้ำท่าจีน ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้ออกคำสั่งระงับบางส่วนในโครงการบริหารจัดการน้ำ 3 .5 แสนล้านบาทเมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2557 ว่า จากคำสั่งดังกล่าวยังไม่ได้ยืนยันว่า คสช.จะยกเลิกโครงการทั้งหมดเพราะโครงการฯ นี้เมื่อครั้งรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้มีมติเดินหน้าไปบ้างแล้ว หมายความว่าโครงการน้ำอาจถูกชุบชีวิตเมื่อมีรัฐบาลใหม่ โดยในส่วนของภาคประชาชนก็ยังคงเดินหน้าคัดค้านเช่นเดิม อย่างไรก็ตามคำตอบที่แน่ชัดจะเกิดขึ้นเมื่อ คสช.มีประชุมในวันที่ 9 มิถุนายน ซึ่งโดยส่วนตัวเชื่อว่า คสช.จะแขวนโครงการไปจนหมดวาระในอำนาจของตน แต่การเคลื่อนไหวภาคประชาชนก็ยังเดินหน้าต่อไป โดยในวันที่ 11 มิถุนายน ตั้งแต่เวลา 09.00-12.00 น. สมาคมวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ หรือวสท. ได้จัดประชุมฝ่ายที่เกี่ยวข้องอีกครั้ง
“เมื่อไม่นานมานี้ทางเครือข่ายก็ได้ส่งข้อมูล ยื่นหนังสือ แนบเอกสารไปชี้แจงต่อ คสช.แล้ว ไม่มีความจำเป็นต้องชี้แจงอีก แต่กรณีการจัดงานของ วสท.นั้นเป็นการจัดขึ้นเพื่อทำความเข้าใจกับสาธารณะ ส่วนฝ่ายบริหารของคสช.นั้น เชื่อว่า หลายส่วนเข้าใจเจตนารมณ์แล้ว อย่างไรก็ตามการเดินหน้าโครงการ3.5 แสนล้านถือเป็นโครงการที่อดีตรัฐบาลตัดสินใจโดยละเมิดสิทธิชุมชน และเดินหน้าโครงการไม่สอดรับกับกฎหมายสิ่งแวดล้อม รวมทั้งไม่มีการเคารพชุมชน สังเกตได้จากหลายเวทีที่ภาคประชาชนไม่สามารถร่วมเวทีรับฟังความเห็นได้ จึงอยากให้คสช.คิดให้รอบคอบและยกเลิกโครงการไป ส่วนรัฐบาลใหม่ที่อาจเกิดขึ้นหากหยิบมาพิจารณาอีก คงต้องเปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมมากกว่ารัฐบาลที่ผ่านมา อย่างน้อยการปฏิรูปแบบประเมินผลกระทบ ทั้ง อีไอเอ อีเอชไอเอ ต้องเกิดขึ้นก่อนการเดินหน้าโครงการที่ส่งผลกระทบต่อท้องถิ่น” นายกมล กล่าว
นายหาญณรงค์ เยาวเลิศ ประธานมูลนิธิการจัดการน้ำแบบบูรณาการ กล่าวว่าในเบื้องต้นควรยกเลิกโครงการบริหารจัดการน้ำ 3.5 แสนล้านทั้ง 10 โมดูลก่อน เพราะแผนดังกล่าวจัดทำขึ้นมาโดยใช้สถานการณ์น้ำท่วมเมื่อปี 2554 เป็นโจทย์ แต่ในความเป็นจริงกลับไม่มีกระบวนการการมีส่วนร่วมจากภาคประชาชนอย่างแท้จริง ที่สำคัญคือไม่มีใครสามารถตอบคำถามได้ว่าหากดำเนินการตามแผนดังกล่าวจะแก้ไขปัญหาน้ำท่วมหรือน้ำแล้งทั้งระบบได้จริง
“ผมคิดว่าควรยุบกบอ.(สำนักงานนโยบายและบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยแห่งชาติ) ไปก่อน เพราะแทบไม่มีผลงานอะไร แถมตั้งแต่มีกบอ.ทำให้การทำงานแก้ไขปัญหาน้ำลำบากขึ้นเพราะหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่างก็เกรงใจจนไม่กล้าทำอะไร และควรตั้งคณะทำงานขึ้นมาชุดหนึ่งซึ่งประกอบด้วยนักวิชาการ ผู้ชำนาญการและภาคประชาชน เพื่อระดมข้อมูลและวางแผนกันอย่างเป็นระบบ นอกจากนี้ควรผลักดันกฎหมายน้ำที่ร่างกันไว้แล้วให้สำเร็จ” นายหาญณรงค์ กล่าว