พลเอกบอ จ่อ แฮ รองผู้บัญชาการทหารสูงสุด(รองผบ.สส.) กองทัพปลดปล่อยแห่งชาติกะเหรี่ยง (Karen National Liberation Army-KNLA) ของสหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง (Karen National Union-KNU) ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนจากหลายชาติหลายสำนัก เมื่อ 17 พฤศจิกายน 2557 ณ ชุมชนแห่งหนึ่งริมแม่น้ำสาละวิน
—————-
-ขอให้ท่านเล่าถึงสถานการณ์ภาพรวมของรัฐกะเหรี่ยงในปัจจุบัน
ภาพรวมสถานการณ์ของเมืองมือตรอ รัฐกะเหรี่ยง เดิมพื้นที่นี้ไม่เคยมีเฮลิคอปเตอร์ของทหารพม่าเข้ามาถึง แต่ภายหลังการเจรจาหยุดยิงในช่วงที่ผ่านมากองทัพพม่าเริ่มมีการบินเข้ามาสังเกตการณ์ โดยเฉพาะช่วงเดือนตุลาคมมีการบินเข้ามาในพื้นที่ 2วันต่อกัน ทำให้ชาวบ้านไม่มั่นใจต่อสถานการณ์
ถ้าเราดูภาพรวมทั้ง 7กองพลของรัฐกะเหรี่ยง หรือพื้นที่ภายใต้ KNU ในช่วงการเจรจาหยุดยิง ทหารพม่าทุกกองพลใช้โอกาสนี้ในการสร้างและปรับปรุงและพัฒนาเส้นทางเพื่อใช้ในภารกิจทางการทหาร ซึ่งส่วนใหญ่ดำเนินการในพื้นที่ของกองทัพพม่า โดยมีการปรับเปลี่ยนกองกำลัง ยุบรวมหน่วยทหาร เพื่อจัดฐานบัญชาการ ยิ่งไปกว่านั้นในพื้นที่แทบทุกกองพลมีการลำเลียงยุทโธปกรณ์อย่างกระสุนปืนใหญ่และกระสุนปืนเล็กเพิ่มเข้ามาในพื้นที่ เราจึงเข้าใจว่านี่เป็นการฉวยโอกาสในช่วงที่มีการเจรจาหยุดยิงของกองทัพหม่า
ในขณะที่มีการเจรจาหยุดยิงแล้วบอกว่าจะพัฒนาสถานการณ์ของทั้งสองฝ่ายให้ดีขึ้น สร้างความเชื่อใจต่อกันให้มากขึ้น และจะสร้างสันติภาพร่วมกัน แต่ในช่วงที่เราพูดคุยเพื่อกำหนดความชัดเจนนั้น ต่างฝ่ายต่างประจำในที่มั่นเพื่อไม่ได้เกิดการปะทะกันขึ้น โดยทาง KNU ทำงานมวลชน ทำความเข้าใจและให้ความรู้แก่ประชาชนถึงแนวทางทางการพูดคุยสันติภาพ และทิศทางของการทหารว่าจะเดินไปอย่างไร แต่รัฐบาลพม่าไม่เห็นด้วยและไม่อนุญาตให้เราดำเนินการเช่นนี้ โดยบอกว่าไม่ให้เราเพิ่มกำลังพล ไม่ให้มีการฝึกอบรมแก่ทหาร ไม่ให้ทำกิจกรรมมวลชนกับชาวบ้าน และไม่ให้ขอความช่วยเหลือใดๆ จากชาวบ้านอย่างที่เคยทำมา ยิ่งไปกว่านั้นกองทัพพม่ามีคำสั่งให้แต่ละกองร้อยเพิ่มทหารเข้ามาประจำการอย่างน้อยเดือนละ 2คน เขาให้เราหยุดเคลื่อนไหวแต่พวกเขากกลับเคลื่อนไหวเตรียมพร้อมระวังตัวอยู่ตลอดเวลา ผมจึงมีความกังวลต่อสถานการณ์ในอนาคต
เราเห็นว่ารัฐบาลพม่ามีแผนการอย่างชัดเจนคือว่า พวกเขาเล่นการเมืองบนเวทีให้เป็นไปอย่างดีทีสุด เพื่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงไปตามลำดับขั้นของพวกเขาดำเนินการอย่างระวังและพยายามใช้ทุกโอกาส ทุกช่องทางเพื่อให้กองทัพยังอยู่ได้ โดยทำการเจรจาหยุดยิงกับกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ เพื่อสุดท้ายแล้วกองทัพพม่าจะได้ควบคุมสถานการณ์ทุกอย่างได้ ทางการทหารก็มีการเตรียมการอย่างเต็มที่เช่นกัน เขาทำหน้าที่บนโต๊ะ บนเวทีอย่างเต็มที่ ขณะเดียวกันใต้โต๊ะก็มีการเตรียมการอย่างเต็มที่เช่นกัน พวกเขามีแผนการทำงานที่คู่ขนานกันไปอย่างเห็นได้ชัด
ตามที่เขามีแผนไว้หลายแผน ดังนั้นในช่วงการเจรจาหยุดยิง เราควรที่จะค่อยๆ ก้าวไป เขาจะได้ศึกษาเรา เราก็จะได้ศึกษาเขา ต่างฝ่ายต่างค่อยๆศึกษากัน เพื่อให้แนวทางสันติภาพเป็นไปอย่างถูกต้องและโปร่งใส
-การเลือกตั้งครั้งต่อไป KNU มีความเห็นอย่างไร จะมีการเลือกตั้งที่โปร่งใส และเป็นไปตามที่ประชาชนต้องการได้หรือไม่
การเลือกตั้งของพม่าปี 2015 ตอนนี้ยังไม่มีความชัดเจน การเลือกตั้งอย่างโปร่งใสตรงไปตรงมาผมคิดว่ายังมีอะไรติดขัดอยู่ เราหวังว่าการเลือกตั้งจะมาจากความต้องการของประชาชนส่วนใหญ่และเป็นการเลือกตั้งที่ยุติธรรม แต่สถานการณ์อย่างนี้ผมมองว่าการเลือกตั้งที่โปร่งใสน่าจะเป็นไปได้ยาก
-อยากให้เล่าเกี่ยวกับสถานการณ์เขื่อนฮัตจี
แนวทางในการสร้างสันติภาพ เราอยากให้เกิดความชัดเจนค่อยเป็นค่อยไปตามลำดับ คือ หนึ่งเจรจาหยุดยิง สองจากนั้นเราก็มาคุยเรื่องแนวทางสิทธิทางการเมือง สามเมื่อทุกอย่างลงตัว เราค่อยมาพูดคุยเรื่องโครงการพัฒนาต่างๆในประเทศ เราได้เสนอไปอย่างนั้นแต่รัฐบาลพม่าบอกว่า เราเจรจา เราหยุดยิง แล้วทำโครงการพัฒนาต่างๆ ส่วนเรื่องการเมืองไว้ค่อยคุยทีหลัง ทำให้เรื่องนี้จึงกลายเป็นเรื่องน่ากังวลสำหรับเรา เพราะว่าในขณะที่ยังไม่มีความชัดเจนในการพูดคุยตามแนวทางสันติภาพ แล้วระหว่างนี้ถ้ามีโครงการพัฒนาขนาดใหญ่ต่างๆเข้ามา อาจจะทำให้เกิดความวุ่นวายขึ้น คือมันอาจทำให้การเจรจาสันติภาพล่มไป และจะทำให้เราไม่สามารถพูดคุยแนวทางทางการเมืองได้ต่อ ดังนั้นขณะนี้สถานการณ์กำลังเป็นตามแผนหรือแนวทางที่รัฐบาลพม่าต้องการ แม้การเจรจายังไม่ชัดเจน แต่พวกเขาได้เริ่มโครงการต่างๆ ขึ้นแล้ว ตอนนี้เราจึงต้องระวังตัวเพื่อไม่ให้โครงการเหล่านี้มากระทบต่อกระบวนการพูดคุยเพื่อสันติภาพ
ในช่วงที่เราพูดคุยกันอาจจะสามารถดำเนินโครงการขนาดเล็กได้ เพราะว่าโครงการขนาดเล็กถ้ามีผลกระทบก็ไม่มาก ถ้าเกิดข้อผิดพลาดเราสามารถที่จะแก้ไขได้และแก้ไขง่าย แต่ถ้าเราเริ่มด้วยโครงการขนาดใหญ่อาจเกิดผลกระทบที่รุนแรง เสียหายมากและแก้ไขได้ยากกว่าจะทำให้ยากต่อการควบคุมจัดการ
ถ้ามองย้อนกลับไปในช่วงที่สถานการณ์ทางการเมืองยังไม่มีความมั่นคง สถานการณ์การสู้รบยังไม่แน่นอน การดำเนินโครงการพัฒนา(เช่นเขื่อนฮัตจี) ในสถานการณ์อย่างนี้ ผมมองว่าไม่เป็นการพัฒนาที่แท้จริง เป็นเพียงการพัฒนาผิวเผิน แล้วผลประโยชน์ตกเป็นของคนบางกลุ่มเท่านั้น ผลประโยชน์ที่ควรตกถึงประชาชนจึงไม่เป็นอย่างที่ควรเป็น ยิ่งไปกว่านั้น การเข้ามาของเม็ดเงินจะเป็นการทำลายจิตสำนึกของคนบางคนได้ เพราะเงิน คือช่องให้เกิดการคอรัปชั่น เรากังวลในเรื่องนี้
สิ่งที่ผมต้องการคือ การพัฒนาต้องค่อยทำ เริ่มจากโครงการขนาดเล็กแล้วค่อยไปใหญ่ สถานการณ์เริ่มนิ่งขึ้นแล้วเราค่อยขยับโครงการที่ใหญ่ขึ้น แนวทางสันติภาพก็ต้องดำเนินไปด้วยเช่นกัน ค่อยทำไปตามลำดับเพื่อให้เกิดสันติภาพที่แท้จริง ไม่เช่นนั้นถ้าเราคิดว่าหยุดยิงแล้วจะเกิดสันติภาพทันทีอย่างนั้นก็ไม่ใช่ ไม่เคยทำโครงการเล็กแต่เริ่มทำโครงการใหญ่เลย คนที่เคยจับเงินน้อยแล้วไปจับเงินเยอะเลยมันจะเกิดความผิดพลาดและมีผลกระทบได้ง่ายมาก มันจะไม่ใช่การพัฒนาอย่างแท้จริง
เส้นทางสันติภาพ เส้นทางการพัฒนาถ้าเรารีบเกินไปย่อมไม่เกิดความมั่นคงขึ้นอย่างแน่นอนยกตัวอย่างเช่น พื้นที่ KNU มีทั้งหมด 7กองพล แต่ละพื้นที่ภูมิศาสตร์ไม่เหมือนกัน สถานการณ์ของประชาชนไม่เหมือนกัน ทรัพยากรธรรมชาติมีไม่เหมือนกัน เราต้องเผชิญกับปัญหาในแต่ละพื้นที่ไม่เหมือนกัน เพราะนี่คือแผนการของรัฐบาลพม่า เช่นเดียวกันในแต่ละกลุ่มชาติพันธุ์มีสถานการณ์ที่ต่างกัน อย่างรัฐคะฉิ่น ประชาชนเขาก็เผชิญกับสถานการณ์อีกอย่าง ทุกชาติพันธุ์เราเผชิญสถานการณ์ไม่เหมือนกัน เพราะภูมิศาสตร์ สถานการณ์ และวัฒนธรรมต่างกัน ดังนั้นเราต้องระมัดระวังและไม่ก้าวไปคนละทาง
ทั้ง 7 กองพลของเรา เราต้องมีการประชุมพูดคุย แลกเปลี่ยนกันและกันในการทำงานร่วมกัน เช่นเดียวกันในแต่ละชาติพันธุ์เราก็ต้องมีการพูดคุย เพื่อให้แนวทางในการปฎิบัติเป็นไปในทางเดียวกัน เพื่อให้ได้มาซึ่งสิทธิเดียวกันที่เราต้องการจากรัฐบาลพม่า เราจึงต้องสามัคคีกัน แลกเปลี่ยนกัน ถ้าเราไม่ประสานงานใกล้ชิด เราไปคนเดียวไม่ได้ ทำคนเดียวก็ไม่ได้ เพราะว่าปัญหาของพม่าทั้งประเทศ คือปัญหาของทุกชาติพันธุ์ในพม่า ดังนั้นเราจึงต้องร่วมมือกันทุกชาติพันธุ์ เราถึงจะได้สันติภาพอย่างแท้จริง
เราต้องตกลงพูดคุยกัน ไม่ว่าจะเป็นแต่ละชาติพันธุ์หรือรัฐบาลพม่าเอง ต่างมีความเห็น ความต้องการที่ต่างกัน และเรามีแผนการดำเนินงานที่ต่างกัน แต่ถ้าเรามาตกลงพูดคุยแบ่งปันผลประโยชน์อย่างยุติธรรมจะทำให้การสร้างความร่วมมือระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์ หรือความร่วมมือระหว่างรัฐบาลพม่ากับแต่ละชาติพันธุ์ไม่ใช่เรื่องยาก ถ้าทุกอย่างเป็นไปในแนวทางที่ถูกต้องความสงบก็เกิดขึ้นได้
-สถานการณ์โดยรอบพื้นที่สร้างเขื่อนฮัตจี ตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง?
ในช่วงเดือนตุลาคมที่ผ่านมาผมได้ข้อมูลว่ามีการทำข้อตกลงรอบใหม่ คือ MOAระหว่างไทยและพม่า เนื่องจากข้อตกลงในรอบ 10 ปีที่ผ่านมาได้จบลงแล้วเดือนที่ผ่านมาจึงมีการทำข้อตกลงกันใหม่ ซึ่งผมเห็นว่าต่างจากที่ผ่านมา คือพื้นที่เหนือเขื่อนและท้ายเขื่อนที่2 ฝ่ายเคยคุยกันว่าจะไม่ให้มีการเสริมกำลังทหารเข้าไป แต่ตอนนี้กองทัพพม่าเสริมกำลังเข้าไป3 จุด สร้างถนน และส่งกำลังรักษาความปลอดภัยในพื้นที่หัวงานเขื่อนซึ่งเริ่มมีการดำเนินการในปีนี้ เรามีคำสั่งให้ทหารในพื้นที่สกัดไว้ห้ามเข้ามา โดยประจำอยู่ในที่มั่นของตนเอง เมื่อทางเราไม่อนุญาตให้เข้ามาในพื้นที่ ทำให้ทหารพม่าใช้ปืนใหญ่เพื่อเปิดเส้นทาง เกิดการปะทะขึ้นในพื้นที่ในเดือนกันยายนที่ผ่านมา
การปะทะที่เกิดขึ้นทำให้ชาวบ้านในพื้นที่ต้องหนีเข้าไปยังบริเวณชายแดนไทยที่อ.ท่าสองยาง จ.ตาก ถ้าเขาปฏิบัติการจริงจะเกิดการอพยพแน่นอน ส่วนผู้อพยพที่อยู่ในฝั่งไทยและที่มีแผนว่าจะมีการส่งกลับมาในพม่าแต่หากสถานการณ์เป็นแบบนี้อาจจะส่งกลับไม่ได้ มิหนำซ้ำอาจมีผู้อพยพเข้าไปในไทยเพิ่มขึ้นอีกด้วย และยังทำให้เกิดผู้พลัดถิ่นภายใน(Internally Displaced Persons)เพิ่มขึ้นด้วย
สถานการณ์เขื่อนฮัตจีตอนนี้ดูเหมือนว่าจะระอุขึ้น ผมเห็นว่าพวกเขาเริ่มแล้ว เริ่มเข้ามายึดพื้นที่สองจุด และมีแผนที่จะเข้ามายึดพื้นที่เพิ่มอีก รวมถึงเริ่มการดำเนินการก่อสร้าง และนี่อาจจะเป็นอีกประเด็นที่เป็นอุปสรรคสำคัญต่อการพูดคุยสันติภาพในอนาคต
ผมกังวลว่า ถ้าพวกเขาลงนามในข้อตกลงระหว่างไทย-พม่าจริงจะเกิดปัญหาใหญ่ตามมาแน่นอน โดยความความเห็นส่วนตัวอย่างที่ได้กล่าวไว้ว่าในช่วงการเจรจาหยุดยิงอย่างนี้ เราจำเป็นต้องสร้างแนวทางการหยุดยิงอย่างจริงจัง แล้วพัฒนาแนวทางทางการเมือง จากนั้นพวกโครงการพัฒนาขนาดใหญ่ถ้ามีความจำเป็นต้องทำ ก็ค่อยทำให้อย่างถูกต้องตามความต้องการของเสียงประชาชนส่วนใหญ่ และดำเนินการในมาตรฐานที่ยอมรับในระดับนานาชาติ เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อชาวบ้าน และเกิดประโยชน์กับพื้นที่โดยรวมของ KNU
-เท่าที่ท่านได้ข้อมูลมา ข้อตกลงชุดใหม่ที่เกิดขึ้นเป็นข้อตกลงช่วงที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ไปเยือนพม่าครั้งที่ผ่านมาหรือเปล่า
ครับ เท่าที่ผมรู้คือเดือนที่ผ่านมา ตอนแรกผมเข้าใจว่าโครงการเขื่อนฮัตจีหยุดแล้ว แต่มีข่าวแจ้งมาว่าไม่หยุดแต่เริ่มรอบใหม่ ข้อตกลงที่ทำมีข้อมูลว่าเป็นการตกลงระหว่างรัฐกับรัฐ ส่วนบริษัทเอกชนนั้นก็เป็นบริษัทลูกชายของ อู่ อ่อง ตอง
-ได้ข่าวว่าการที่ทหารพม่าจะเข้าไปสร้างเขื่อนฮัตจี ทางทหารพม่ามีการขอให้กองกำลังต่างๆอย่าง KNU หรือ DKBA ย้ายออกจากพื้นที่เป็นความจริงหรือไม่?
ช่วงเดือนตุลาคมที่ผ่านมากองทัพพม่าได้ขอให้เราถอนกำลังออกจากพื้นที่ แต่เราชี้แจงไปว่าสถานการณ์อย่างนี้ขอให้ต่างฝ่ายต่างอยู่ในที่มั่นตัวเอง และอย่าเข้ามาดำเนินการใดๆ แต่เขากลับเข้ามาแล้วยิงปืนใหญ่เข้ามาด้วย ปัญหาเลยเกิด หากฝ่ายพม่าเดินหน้าจริง ปัญหาเกิดแน่นอน เพราะพวกเขาไม่ยอมถอนกำลังยังไม่พอ มีการเสริมกำลังเข้ามาอีก กองกำลังแนวหน้าของเราจึงเกิดความกังวล
-โครงการเขื่อนฮัตจี เริ่มมีการดำเนินการก่อสร้างในพื้นที่หรือยัง?
ตอนนี้ยังไม่มีการก่อสร้างอะไร ที่ผ่านมามีการทำที่พักคนงาน แคมป์สำรวจ แต่ตอนนี้ก็ถอนออกไปหมดแล้วตั้งแต่ช่วงปี 2012
-KNU บอกว่าในทางการเมืองแต่ละชาติพันธุ์ต้องก้าวไปด้วยกัน ในทางเดียวกัน แต่ทำไม KNU จึงลาออกจากสภาสหชนชาติ (United Nationalities Federal Council-UNFC)
ผมเห็นว่าเราควรจะร่วมมือกัน ตอนนี้ใน KNU เราบางส่วนเห็นว่าถ้าเราดำเนินการตามแนวทางของ UNFC จะทำให้เป็นข้อติดขัดสำหรับแนวทางของ KNU แต่บางส่วนก็เห็นว่าไม่มีปัญหาอะไรเราสามารถร่วมมือกันได้ ด้วยความเห็นที่แตกต่างกันอย่างนี้เราจึงตกลงกันว่า ยังไม่ลาออกแต่จะถอยห่างออกมาหน่อย แต่ขณะเดียวกันในการประชุมของเราตกลงกันให้มีคณะทำงานชุดหนึ่งเพื่อติดตามต่อ และทำความเข้าใจซึ่งกันและกัน เพื่อให้เดินต่อด้วยกันได้
-เรื่องของกองกำลังกระเหรี่ยงกลุ่มต่างๆ เช่น DKBA, KNLA จะรวมกันเป็นกองกำลังเดียวกันเรื่องนี้เป็นเรื่องจริงหรือไม่?
การรวมตัวของกองกำลังติดอาวุธกะเหรี่ยงเป็นเรื่องจริง ในที่ประชุมสภาของเราได้ตกลงกันว่ากลุ่มติดอาวุธกระเหรี่ยงกลุ่มต่างๆที่ได้กระจายกันออกไป เราจะกลับมารวมตัวกัน เรื่องนี้มีมติออกมาแล้ว เพราะที่ผ่านมาเราคุยกันว่าถ้าเราแตกกันเป็น 2-3 กลุ่ม เรียกชื่อต่างกันออกไป และไปตามแนวทางของแต่ละกลุ่มนั้น เป็นไปไม่ได้ เราจึงพยายามประสานพูดคุยกันแล้วมีข้อตกลงว่าจะกลับมารวมตัวกันทั้ง DKBA, KNLA-PC และ KNLA จะต้องมีแนวทางการทำงานเดียวกัน มีเป้าหมายเดียวกันเพื่อประชาชนกะเหรี่ยง และควรมีกองทัพหนึ่งเดียว เราจึงตั้งชื่อว่าเคเอเอฟ (Kawthoolei Armed Force-KAF) ซึ่งเป็นแนวทางที่ทุกฝ่ายยอมรับได้เราจึงใช้ชื่อนี้แล้วสื่อสารออกไป
แรกเริ่ม KAF เกิดขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 1949 แล้ว ต่อมามีการเปลี่ยนชื่อ และมีกองกำลังแยกย่อยออกไป เช่น KNLA แยกออกไปเป็น DKBA หรือเป็น KNLA-PC แต่กลุ่มเหล่านี้จะกลับมารวมตัวกันในชื่อที่เคยเริ่มต้นมา และเพื่อทำให้เห็นภาพเราจึงต้องพัฒนาศักยภาพของกองทัพให้เป็นหนึ่งเดียวเพื่อประชาชนของเรา
-การรวมตัวนี้เป็นทางการหรือยัง?
มีการทำแถลงการณ์ร่วมกันแล้ว และถ้าทุกอย่างลงตัว จะมีการบัญญัติเข้าไปในการประชุมครั้งต่อไป เพื่อเราจะได้ใช้ชื่อกองทัพร่วมกันทั้งหมด จากนั้นเราจะประกาศอย่างเป็นทางการต่อไป
-นอกจากโครงการเขื่อนฮัตจีแล้ว ทางตอนใต้ลงไปมีโครงการเขตเศรษฐกิจพิเศษระหว่างรัฐบาลพม่ากับรัฐบาลไทย ในพื้นที่แม่สอด-เมียววดี ในส่วนนี้จุดยืนของ KNU ต่อเขตเศรษฐกิจพิเศษเป็นอย่างไร จะมีผลกระทบที่หนักหน่วงกว่าโครงการฮัตจีหรือไม่?
ผมคิดว่า โครงการการลงทุนขนาดใหญ่เกิดขึ้นKNU ไม่ได้มีส่วนร่วมอย่างจริงจัง ผมจึงคิดว่าจะมีปัญหาตามมาอย่างแน่นอน เพราะว่าเรื่องการจัดการกรรมสิทธิ์ที่ดิน สิทธิชุมชนต่างๆของชาวบ้านไม่ปรากฏให้เห็นเลย อย่างโครงการเขตเศรษฐกิจทวาย หรือโครงการอื่นๆ ผมคิดว่าจะเกิดปัญหาตามมา
-โครงการใหญ่ที่ท่านบอกว่าจะมีการคอรัปชั่นหรือเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ ท่านคิดหรือไม่ว่าในกลุ่มคนกะเหรี่ยงจะมีการถูกชักจูงเพื่อผลประโยชน์ของกลุ่มพม่า หรือไทย หรือเกิดการใช้พวกพ้อง ซึ่งจะทำให้การต่อสู้ของกลุ่มกะเหรี่ยงอ่อนแอลง
สิ่งที่ผมกังวลกำลังเกิดขึ้นและจะเป็นสิ่งที่ลดทอนกำลังของเรา ซึ่งเรามีข้อมูลแล้วว่ามีการเข้ามาเสนอผลประโยชน์ด้วยเงินและสิทธิพิเศษต่างๆ ให้แก่ลูกหลานนายทหารหรือนายทหารในแนวหน้าบางคนเพื่อให้เกิดการทำข้อตกลงในพื้นที่และไม่มีการรายงานการจ่ายเงินไปยังส่วนกลาง นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว และจะเป็นสิ่งที่ทำลายเรา เป็นการทำลายตัวเองจากคนที่เลือกรับผลประโยชน์โดยมิชอบ คนที่รับโครงการใหญ่มาก็เจอปัญหาใหญ่ คนที่รับโครงการเล็กมาก็เจอปัญหาเล็ก สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดก็เกิดขึ้นตามลำดับของมัน
-อยากรู้เรื่องการเข้าถึงข้อมูลของกลุ่ม KNU ในเรื่องโครงการพัฒนาว่าทำได้ถึงระดับไหน เพราะที่ผ่านมามีการทำ EIA โครงการเขื่อนฮัตจี ท่านสามารถเข้าถึงข้อมูลได้น้อยมาก และเรื่องการรวมตัวของ KAF จะมีการพูดถึงเรื่องการจัดการทรัพยากรร่วมกันหรือเปล่า เพราะมีการใช้แม่น้ำร่วมกันตั้งแต่บนลงไปล่าง และในส่วนด้านล่างมีทรัพยากรป่าไม้ที่สมบูรณ์อยู่ จะมีการคุยกันเรื่องพวกนี้หรือไม่
คำถามแรก โครงการขนาดใหญ่ต่างๆเราไม่ได้รับข้อมูลที่ครบถ้วน เจ้าหน้าของเราที่ต้องเข้าไปรับผิดชอบก็ไม่มีความเข้าใจในโครงการที่ต้องติดตามอย่างเพียงพอ ข้อมูลที่เราได้มาส่วนใหญ่มาจากการรวบรวมข้อมูลขององค์กรเอ็นจีโอต่างๆ เช่น องค์กรที่ทำงานด้านสิ่งแวดล้อมพอเรามีข้อมูลเหล่านี้จึงทำให้เราเข้าใจสถานการณ์ว่าโครงการที่จะเกิด รัฐบาลพม่ามีแผนการอย่างไร แต่เราได้ข้อมูลน้อย บางทีเราไม่ได้ข้อมูลอะไรเลย
คำถามที่สอง KAF กองทัพกระเหรี่ยงเราถ้าเราจะเรียกว่าเป็นกองทัพ เราก็ยังไม่ถึงกับเป็นกองทัพที่สมบูรณ์ เพราะเราจำเป็นต้องให้ความรู้แก่กำลังพลถึงระเบียบหรือแนวทางต่างๆ และยังต้องให้ความรู้ เรียนรู้ร่วมกัน และพัฒนาศักยภาพ รวมถึงผลประโยชน์ต่างๆ จะต้องเป็นหนึ่งเดียวไม่มีช่องว่างอีก ผลประโยชน์ต้องเป็นของประชาชน เรามีหน้าที่ปกป้องประชาชน ปกป้องผืนดินของประชาชน นี่คือเป้าหมาย
อีกอย่างการจะประสานทำงานร่วมกับองค์กรต่างๆภายนอกต้องเป็นไปในทางเดียวกัน เราต้องให้การศึกษา และสร้างความเข้าใจให้กับทหารของเราทุกกลุ่ม เพื่อเป็นการพัฒนาศักยภาพกองทัพทั้งหมดของเรา
-อยากทราบว่าปัญหาทั้งหมดที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นโครงการพัฒนาต่างๆที่ผ่านมา หรือการเจรจาสันติภาพทาง KNU มีข้อเสนอที่เป็นจุดยืนของตนเอง หรือเป็นแนวทางที่ KNU ต้องการจะให้เป็นอย่างไร
ในปี 2012 มีการเสนอไป รัฐบาลพม่ายอมรับและตกลง แต่ไม่มีการทำข้อตกลงออกมาเป็นลายลักษณ์อักษรให้ปรากฏชัดเจน คือ ข้อเสนอหลักที่ว่าคือ เจรจาทำความชัดเจนเรื่องหยุดยิง แล้วพัฒนาแนวทางทางการเมือง โครงการพัฒนาต่างไว้คุยกันที่หลัง รัฐบาลพม่าตอบตกลง แต่ไม่มีการทำเป็นลายลักษณ์อักษรอะไรออกมา ผลการดำเนินการต่างๆ จึงเป็นอย่างที่เห็น
————–