เหตุสู้รบระหว่างกองทัพพม่าและกองกำลังโกก้าง หรือกองทัพสัมพันธมิตรชาติประชาธิปไตยพม่า (MNDAA-Myanmar National Democratic Alliance Army) ยังเกิดขึ้นอีกเมื่อกลางดึกของคืนวันอังคาร(17 ก.พ.) ที่ผ่านมา ในหมู่บ้าน โลนทาน ซึ่งตั้งอยู่ในเขตปกครองพิเศษโกก้าง ติดพรมแดนจีน มีรายงานว่า พบผู้เสียชีวิตเพิ่มอีก 2 คน เป็นทหาร 1 คนและพลเรือนอีก 1 คน นอกจากนี้ยังพบผู้ได้รับบาดเจ็บอีก 5 คน
ด้านนาย มูซอว์ เจ้าหน้าจากสำนักงานประธานาธิบดีกล่าวหาจีนว่า ควรหยุดช่วยเหลือกลุ่มโกก้างในการโจมตีทหารพม่าจากฝั่งจีน อย่างไรก็ตาม รัฐบาลจีนออกมาปฏิเสธเรื่องนี้ และเรียกร้องให้สันติภาพเกิดขึ้นตรงพรมแดนทั้งสองประเทศโดยใช้วิธีสันติเจรจา
ทางด้านสำนักข่าวไทใหญ่ Panglong รายงานว่า หลังจากกองทัพพม่าเข้ามาดูแลจัดการในเขตปกครองพิเศษโกก้าง ในช่วงวันที่ 15 – 16 ก.พ.ที่ผ่านมา มีชาวบ้านในพื้นที่ถูกยิงเสียชีวิตไปแล้วไม่น้อยกว่า 100 คน พบมีทั้งเด็กและคนชรารวมอยู่ด้วย
อากวาง เจ้าของร้านค้าในพื้นที่เปิดเผยกับสำนักข่าว Panglong ว่า ชาวบ้านที่ถูกยิงเสียชีวิต บางส่วนพยายามออกจากบ้านของตัวเอง เพื่อไปอยู่ในที่ปลอดภัย บางส่วนเป็นชาวบ้านที่หนีออกไปได้แล้วแต่กลับเข้ามาเก็บของสัมภาระที่บ้านของตน นอกจากนี้ ทหารจะเข้ามาเคาะประตูตามบ้าน หากพบมีชาวบ้านซ่อนตัวในบ้าน ชาวบ้านเหล่านั้นก็ถูกซักถาม ทำร้ายร่างกาย และบางรายถูกยิงเสียชีวิต อากวางกล่าวว่า คนในครอบครัวของเธอ พี่สาวและหลานอายุ 11 ขวบ ก็ถูกทหารพม่ายิงเสียชีวิตต่อหน้าต่อตา
ในส่วนของกองทัพพม่าที่่ออกมากล่าวหาว่า กองกำลังโกก้างเป็นผู้ลงมือก่อเหตุฆ่าพลเรือน และโจมตีรถของสภากาชาดพม่า บนเส้นทางระหว่างเมืองเหล่ากายและเมืองชินฉ่วยฮอ เมื่อวันที่ 17 ที่ผ่านมานั้น ทุนเมียตลิน โฆษกของกองกำลังโกก้าง ได้ออกมาปฏิเสธข้อกล่าวหาดังกล่าว โดยระบุ เส้นทางดังกล่าวนั้นอยู่ในเขตควบคุมของกองทัพพม่า ทางกลุ่มไม่สามารถเข้าไปใกล้ได้ เช่นเดียวกับในเมืองเหล่ากาย ที่ทางกลุ่มก็ไม่สามารถเข้าไปเช่นกัน โดยระบุ กลุ่มโกก้างนั้นเคลื่อนไหวอยู่ในป่าและไม่มีนโยบายฆ่าพลเรือนของตัวเอง
ทุนเมียตลินยังกล่าวเพิ่มเติมว่า โกก้างนั้นเป็น 1 ใน 135 กลุ่มชาติพันธุ์ที่อยู่ในพม่า และไม่ได้ต้องการที่จะแยกออกไปจากสหภาพพม่า และไม่ได้รับการสนับสนุนจากจีนตามที่ถูกกล่าวหา แต่สิ่งที่กลุ่มโกก้างต้องการก็คือ สามารถปกครองตนเองและต้องการทวงคืนข้อตกลงต่างๆ ที่เคยทำไว้กับรัฐบาลพม่าในปี 2532
ที่มา DVB/เว็บไซต์ข่าวไทใหญ่ป๋างโหลง
