
เมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม 2558 เวลาประมาณ 13.00 น. ที่หน้ากระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ถนนราชดำเนิน กรุงเทพฯ เครือข่ายปกป้องอันดามันจากถ่านหินจัดแถลงข่าว “หยุดถ่านหินอันดามัน” ซึ่งมีการเชิญตัวแทนเครือข่ายภาคประชาชน นักวิชาการ และนักฏหมาย มาร่วมกันแลกเปลี่ยนในข้อเสนอต่อแนวทางการยกเลิกโครงการโรงไฟฟ้าถ่ายหินจังหวัดกระบี่
ทั้งนี้ ในวันนี้นับเป็นวันที่สี่ของการอดอาหารประท้วงของ 2 ตัวแทนเครือข่ายปกป้องอันดามันฯ เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลยกเลิกโครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหิน จังหวัดกระบี่ ซึ่งช่วงก่อนเริ่มการแถลงข่าว มีประชาชนที่ทราบข่าวทยอยเดินทางมามอบดอกไม้ให้กำลังใจเป็นจำนวนมาก และร่วมกันชูป้ายที่มีข้อความไม่เห็นด้วยต่อโครงการดังกล่าว
อีกทั้งก่อนที่จะมีการเริ่มแถลงข่าว นายวัลลภ ตังคณานุรักษ์ หรือครูหยุย สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ หรือ สนช. ได้เดินทางมาพบ นายสิทธิชัย หนูนวล และนายอัครเดช ฉากจินดา สองตัวแทนเครือข่ายปกป้องอันดามันฯ ที่กำลังอดอาหารประท้วง โดยมีการนั่งพูดคุยกันเป็นเวลานาน และกล่าวกับผู้สื่อข่าวที่มาติดตามทำข่าวว่า ตนเองได้รับมอบหมายจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทรโอชา นายกรัฐมนตรี ให้มาติดตามปัญหานี้ เนื่องจากนายกฯ อยากให้ทุกฝ่ายได้หันหน้ามาคุยกันต่อปัญหาที่เกิดขึ้น โดยไม่ต้องการให้มีการเคลื่อนไหวในลักษณะนี้ เพื่อให้การปฏิรูปประเทศขับเคลื่อนไปข้างหน้าได้ ดังนั้นตนรับปากว่าจะนำข้อมูลและเอกสารที่รับมาในวันนี้ไปมอบให้นายกฯ รวมทั้งถ้าเป็นไปได้อยากจะเชิญผู้ประท้วงทั้งสองท่าน ตัวแทนเครือข่ายปกป้องอันดามัน และนักวิชาการที่มาในวันนี้ได้เข้าไปหารือกันในทำเนียบรัฐบาลด้วย
หลังจากนั้น นายอมฤทธิ์ ศิริพรจุฑากุล ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจังหวัดกระบี่ ได้อ่านแถลงการณ์เครือข่ายปกป้องอันดามันจากถ่านหินฉบับที่ 7 เรื่อง ข้อเสนอต่อการยกเลิกโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินจังหวัดกระบี่ โดยระบุว่า จากการที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ได้ดำเนินการเพื่อไปสู่การก่อสร้างโรงไฟฟ้าจังหวัดกระบี่ โดยการใช้เชื้อเพลิงถ่านหิน ซึ่งงานศึกษาของคณะกรรมการร่วมระหว่างรัฐบาล(IPCC) ซึ่งสนับสนุนโดยสหประชาชาติ และงานวิจัยในมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลก ออกมาชี้ว่าถ่านหินเป็นภียต่อโลกทั้งสุขภาพและสิ่งแวดล้อม หลายประเทศทั่วโลกได้ประกาศยกเลิกและปิดโรงไฟฟ้าถ่านหิน ด้วยเหตุผลทางด้านมลพิษที่เกินการควบคุมแก้ไข และไม่มีเทคโนโลยีใดจัดการกับมลพิษถ่านหินได้ หากนำถ่านหินมาใช้เป็นเชื้อเพลงไฟฟ้าในพื้นที่อันดามันจะเกิดผลกระทบอย่างมหาศาลต่อการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจของประเทศ
จากงานวิจัยของเกาะลันตา จังหวัดกระบี่ พบว่านักท่องเที่ยวร้อยละ 87 จะไม่กลับมาเที่ยวจังหวัดกระบี่อีกเลย ซึ่งเป็นการสำรวจจากนักท่องเที่ยว 37 ประเทศ จำนวน 624 คน ซึ่งจะกระทบการท่องเที่ยวทั้งอันดามันที่สร้างรายได้ให้ประเทศปีละกว่า 3 แสนล้านบาท และมีธุรกิจต่อเนื่องกว่า 100 ธุรกิจ สำหรับทางออกด้านความมั่นคงด้านพลังงาน จึงมีข้อเสนอต่อนายกรัฐมนตรี ดังนี้
1.หากภายใน 3 ปี จังหวัดกระบี่ไม่สามารถผลิตกระแสไฟฟ้าใช้เองได้ 100 เปอร์เซ็นต์ภายใต้เงื่อนไขว่า หลังจากนี้รัฐบาลจะต้องสนับสนุนขยายระบบโครงข่ายสายส่งไฟฟ้าที่ผลิตจากพลังงานหมุนเวียนของจังหวัดกระบี่เข้าสู่สายส่งไฟฟ้าได้เป็นอันดับแรก รัฐบาลจึงค่อยพิจารณาเรื่องโครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงอื่นที่ส่งผลต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด
2.เพื่อเป็นการพิสูจน์ว่า ไฟฟ้าสามารถมีที่มาจากแหล่งพลังงานหมุนเวียนชนิดอื่นโดยไม่จำเป็นต้องใช้เชื้อเพลิงถ่านหิน และยังเป็นการพิสูจน์ว่าในภูมิภาคอันดามันและภาคใต้ทั้งหมดสามารถสร้างความมั่นคงไฟฟ้าได้โดยไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ทั้งนี้เฉพาะจังหวัดกระบี่มีโรงไฟฟ้าตัวอย่างที่ใช้นำเสียจากโรงงานปาล์มผลิตไฟฟ้า และในปัจจุบันสามารถขายไฟฟ้าเข้าสู่สายส่งและศักยภาพการผลิตมีได้มากกว่า ซึ่งเป็นการผลิตไฟฟ้าที่ไม่ก่อมลพิษจนเกิดผลกระทบ และเป็นการจัดการปัญหาน้ำเสียที่ไหลลงแหล่งน้ำสาธารณะ ทั้งเป็นการแก้ปัญหาราคาปาล์มน้ำมันที่มีปัญหาตลอดมา
กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงานเคยประเมินศักยภาพของพลังงานหมุนเวียนทั้งหมดว่ามีนับพันเมกกะวัตต์ โดยปัจจุบันมีโรงงานปาล์ม 11 โรงที่ผลิตไฟฟ้าได้แล้ว อีก 6 โรงกำลังดำเนินการ และ 15 โรงยังไม่ได้ผลิต ดังนั้นการตัดสินใจเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ความมั่นคงด้านพลังงานไฟฟ้าและบรรลุการรักษาสิ่งแวดล้อมและการท่องเที่ยวไปพร้อมๆ กัน ซึ่งสามารถดำเนินการได้ตามข้อเสนอข้างต้น จะเป็นการประกาศต่อชาวดลกว่า ว่าเราจะเป็น Andaman Goes Green ซึ่งจะดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกให้มาเยือน และสร้างมูลค่าและคุณค่าต่อประเทศชาติ
สำหรับนายศศิน เฉลิมลาภ เลขาธิการมูลนิธิสืบนาคะเสถียร กล่าวว่า คำถามของสังคมตอนนี้ คือประเทศไทยควรมีโรงไฟฟ้าถ่านหินหรือไม่ ซึ่งส่วนตัวมองว่า ถ้าเป็นโรงไฟฟ้าที่มีอยู่แล้ว เช่น โรงไฟฟ้าแม่เมาะ ก็จำเป็นต้องใช้ต่อไป เพราะสร้างมาแล้ว แต่ควรพัฒนาทำให้ดีขึ้นไม่ให้เกิดผลกระทบไปกว่านี้ แต่ถ้าจะเป็นต้องสร้างโรงไฟฟ้าขึ้นใหม่ ก็ควรเลือกสถานที่ให้เหมาะสมหรือสร้างในพื้นที่ที่จะเกิดผลกระทบน้อยที่สุด แต่สำหรับจังหวัดกระบี่ ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญและเป็นแหล่งพื้นที่ชุ่มน้ำสำคัญ ไม่ควรมีโรงไฟฟ้าเกิดขึ้น โดยเฉพาะยิ่งเป็นพลังงานจากถ่ายหินด้วยแล้ว และสำหรับการเรียกร้องของเครือข่ายปกป้องอันดามัน โดยเฉพาะการมาประท้วงอดอาหารก็ควรได้รับความเคารพและกำลังใจจากสังคมด้วย
ด้าน นายศรีสุวรรณ จรรยา นายกสมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน กล่าวว่า ตามที่คณะกรรมการนโยบายการท่องเที่ยวแห่งชาติ ได้จัดทำประกาศและบังคับใช้แผนพัฒนาการท่องเที่ยวแห่งชาติ พ.ศ.2555 – 2559 จนนำไปสู่การประกาศราชกิจจานุเบกษา เมื่อ 17 มิถุนายน 2554 และออกกฏกระทรวงกำหนดเขตพัฒนาการท่องเที่ยวอันดามัน พ.ศ.2558 ครอบคลุมพื้นที่ กระบี่ ตรัง พังงาน ภูเก็ต และสตูล เมื่อ 23 มีนาคม 2558 แล้วนั้น ซึ่งกฏหมายเขียนไว้ชัดเจนว่าต้องได้รับความคุ้มครองเมื่อพบว่ากำลังมีโครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินเกิดขึ้น จึงควรเร่งการบังคับใช้กฏหมายและเร่งให้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ใช้อำนาจตามมาตรา 9(5) พระราชบัญญัติ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย เพื่อให้เกิดการสงวนหรือคุ้มครองแหล่งหรือสถานที่ท่องเที่ยวทั้งจังหวัดกระบี่และอันดามัน ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติสำคัญ เป็นพื้นที่ชุ่มน้ำ เป็นแหล่งอาศัยของพะยูน ให้ปราศจากถ่านหิน ภายใน 30 วันนับจากนี้ ในวันนี้จึงถือเป็นการส่งสัญญาให้ผู้ที่เกี่ยวข้องรับทราบ ซึ่งหากไม่มีการดำเนินการอีก จะถือว่าเป็นการปฏิบัติขัดต่อกฏหมาย จากนั้นคงจะมีการดำเนินการฟ้องศาลปกครองต่อไป
ส่วน นายสัญชัย สูติพันธ์วิหาร คณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า จังหวัดกระบี่ถือเป็นพื้นที่่ที่มีความอุดมสมบูรณ์และเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำสำคัญระดับประเทศ จึงไม่ควรมีโครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหิน เพราะมองไม่เห็นความคุ้มค่าใดๆ เนื่องจากผลกระทบจากมลพิษที่เกิดจากถ่านหิน ฝุ่นละอองจะสะสมและกระทบต่อไปถึงรุ่นลูกหลานไปตลอด 30 ปี และประเทศไทยจะต้องมีภาระในการรักษาโรคที่เกิดขึ้นอีกมูลค่ามหาศาลโดยไม่จำเป็น อีกทั้งรัฐควรเปิดเผยข้อมูลผลกระทบของโรงไฟฟ้าถ่านหินต่อประชาชนอย่างรอบด้าน ไม่จำเพาะข้อมูลด้านบวกเพียงอย่างเดียว เพราะขณะนี้ในพื้นที่กำลังได้รับข้อมูลที่ไม่เพียงพอต่อความคิดเห็นของประชาชน โดยเฉพาะเวทีการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ หรือ EHIA มีการไม่อนุญาติให้ประชาชนที่ไม่เห็นด้วยเข้าไปในเวที ทั้งที่ถือเป็นกระบวนการสำคัญในการตัดสินใจต่อโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหิน ซึ่งขัดต่อหลักการการบวนการมีส่วนร่วม
ด้าน นายอิทธิฤทธิ์ กิ่งเล็ก ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย กล่าวว่า แม้รัฐจะบอกว่ามีเทคโนโลยีที่สามารถควบคุมมลพิษหรือผลกระทบที่จะเกิดจากโรงไฟฟ้าถ่านหิน แต่ยังมีกังวลว่าเทคโนโลยีเหล่านั้นจะเหมาะสมที่จะนำมาใช้กับประเทศไทยหรือไม่ เพราะพื้นที่อันดามันมีมูลค่าทางเศรษฐกิจนับแสนล้านบาท หากย่อยยับไปแล้วใครจะมาเที่ยวอันดามัน และการที่ประชาชนอันดามันลุกขึ้นมาปกป้องหวงแหนก็เพื่อให้ทุกคนยังคงรักษาแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่สมบูรณ์และยั่งยืนต่อไป
นอกจากนี้ ภายหลังเสร็จสิ้นการแถลงข่าว นายสิทธิชัย หนูนวล หนึ่งในสองตัวแทนเครือข่ายปกป้องอันดามันฯ ได้กล่าวกับสื่อมวลชนว่า การต่อสู้ตลอด 3 ปีที่ผ่านมา เราต้องการทำให้สังคมเห็นถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นหากมีการสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหิน และเรามีทางเลือกในการสร้างความมั่นคงด้านพลังงานโดยไม่ต้องใช้ถ่านหิน ที่สามารถทำไปพร้อมๆ กับรักษาความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรธรรมชาติ จึงขอยืนยันข้อเสนอของเราว่า ขอให้ยุติโรงไฟฟ้าถ่านหินนั้น เป็นทางออกที่ดีแล้ว และเมื่อไรที่รัฐบาลยอมรับข้อเสนอเราก็จะกลับบ้าน แต่ถ้ายังไม่ยอมรับก็จะนั่งอดอาหารเพื่อเรียกร้องต่อไป และแม้ตนเองจะต้องล้มไป ก็จะมีพี่น้องอันดามันอีกมากมายที่จะมานั่งอดอาหารต่อจากพวกเรา
——————————–