เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม ที่วัดแม่ลาหลวง ตำบลแม่ลาหลวง อำเภอแม่ลาน้อย จังหวัดแม่ฮ่องสอน คณะศรัทธา ชาวบ้านในพื้นที่ต่างๆ ร่วมกับองค์กรภาคีเครือข่าย ได้ทำพิธีทอดผ้าป่าสามัคคีเพื่อระดมกองทุนช่วยเหลือชาวบ้านทุ่งป่าคา จังหวัดแม่ฮ่องสอน ที่ถูกฟ้องร้องและศาลตัดสินจำคุกตั้งแต่ 1-7 ปีจำนวนกว่า 20 ราย ตามนโยบายทวงคืนผืนป่าของรัฐบาล ซึ่งมีชาวบ้านนับร้อยร่วมงาน ซึ่งบรรยากาศเป็นไปอย่างคึกคักและเต็มไปด้วยมิตรภาพ โดยมีเจ้าหน้าที่ด้านการข่าวของทางการจำนวนหนึ่งร่วมสังเกตการ
นายพิชัย ผาติพันธ์สิน ชาวบ้านทุ่งป่าคาซึ่งภรรยาถูกตัดสินโทษจำคุก 1 ปี กรณีมีไม้ท่อนไว้ในครอบครองจำนวน 4 ท่อน เปิดเผยว่า ไม้ของกลางที่ถูกจับนั้นเตรียมไว้สำหรับนำมาทำบ้าน โดยค่อยๆ เก็บสะสมไว้มานานแล้ว หลังจากภรรยาถูกจำคุกทำให้ต้องทำงานสู้กับเวลา เพราะตอนนี้ตัวคงเดียว แต่ต้องทำงานดูแลลูก 2 คนที่เรียนในระดับชั้น ป.5 กับอนุบาล 1 รวมถึงต้องคอยดูแลพ่อ-แม่ภรรยาด้วย
“ภรรยามีโรคประจำตัว เป็นหอบหืด ต้องมาโรงพยาบาลเดือนละ 3-4 ครั้ง ถ้าอาการไม่หนักมากก็ส่งที่อนามัยใกล้บ้าน บางครั้งผมไปทำไร่ แล้วภรรยาหอบหืดกำเริบ เพื่อนบ้านก็ช่วยมาส่งให้ ช่วงก่อนผมเครียดนอนไม่ค่อยหลับ ตอนนี้กำลังใจดีขึ้นมาบ้างและไม่กลัวอะไรแล้วพร้อมสู้ และยินดีตอบคำถามของทุกคน ผมอยากบอกเพียงว่า ไม้ที่เรามี ไม่ใช่ไม้ที่ซื้อ-ขาย เราเพียงแต่ค่อยๆ เก็บไว้ทำบ้าน” นายพิชัย กล่าว และว่า ตอนนี้ภรรยาอยู่ที่เรือนจำได้ 4 เดือนแล้ว ล่าสุดที่ไปเยี่ยมมา ยังคงมีความเครียดและนอนไม่หลับ เพราะเป็นห่วงพ่อ-แม่ที่สุขภาพไม่ค่อยดี
ขณะที่นางสายหยุด เขตผาติสิงขร ชาวบ้านทุ่งป่าคาซึ่งสามีติดคุกอยู่ในเรือนจำ กล่าวว่า ขณะนี้ครอบครัวค่อนข้างลำบากเพราะไม่มีรายได้เลย ตอนนี้รอขายข้าวโพดที่กำลังปลูกอยู่ เพื่อนำเงินไปใช้หนี้สินที่ยืมมาเป็นค่าเล่าเรียนของลูก 2 คน ส่วนลูกคนโตเข้าไปทำงานในเมืองส่งเงินมาช่วยบ้าง ส่วนบ้านตอนนี้ก็ทำไม่เสร็จ และไม่น่าจะทำต่อได้แล้วเพราะไม้ที่ค่อยๆ เก็บสะสมไว้ถูกยึดไปหมดแล้ว
ด้านดร.เพิ่มศักดิ์ มกราภิรมย์ นักวิชการจากศูนย์ศึกษาและพัฒนาสันติวิธี มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า สิ่งที่เกิดขึ้นกับชาวบ้านทุ่งป่าคาเป็นการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ทหารตามนโยบาย 64 ของ คสช. ที่มุ่งทวงคืนผืนป่า โดยที่เจ้าหน้าที่ที่จับกุมไม่ได้เปิดโอกาสให้ชาวบ้านได้อธิบาย แม้เจ้าหน้าที่ฝ่ายกฎหมายจะเข้าใจชาวบ้านในพื้นที่ แต่จำเป็นต้องดำเนินการตามกฎหมาย เพราะทุกอย่างถูกควบคุมโดยฝ่ายทหาร
“ผมอยากบอกว่า ชาวบ้านอาจผิดตามกฎหมาย แต่พวกเขาไม่ได้ผิดตามจารีต แต่เมื่อศาลตัดสิน พวกเขาต้องเดือดร้อน บางคนต้องออกจากงานเพื่อกลับมาดูแลครอบครัว ลูกหลานบางคนก็ไม่ได้ไปโรงเรียนอีกเพราะขาดรายได้ใช้จ่าย ชาวบ้านทุ่งป่าคาเป็นเหยื่อของกระบวนการยุติธรรม หน่วยงานที่เข้าไปจับไม่เข้าใจจารีตของพวกเขา คนซื้อไม้อย่างนายทุนในเมือง เจ้าหน้าที่ 10 กว่าหน่วยงานในจังหวัดที่อนุมัติการขนย้ายไม้ กลับไม่มีการเรียกสอบใดๆ แต่จับชาวบ้านที่จะนำไม้มาสร้างบ้าน ทำให้เห็นว่ากระบวนการยุติธรรมไม่เป็นธรรม และชาวบ้านก็เป็นเหยื่อของกระบวนการยุติธรรม” ดร.เพิ่มศักดิ์ กล่าว
ทั้งนี้การทอดผ้าป่าที่ระดมได้ในครั้งนี้ ได้เงินกว่า 1 แสนบาท โดยทางคณะผู้จัดและชาวบ้านตกลงกันว่า จะมอบเงินจำนวน 8 หมื่นบาทให้กับชาวบ้านทุ่งป่าคา เพื่อใช้ในการช่วยเหลือครอบครัว และอีก 3 หมื่นบาท จะนำไปตั้งเป็นกองทุนเริ่มต้นให้กับผู้ได้รับผลกระทบในเครือข่ายของพื้นที่อื่นๆ
——————-