เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2558 นางอารมย์ คำจริง ชาวบ้านในชุมชนรอบเหมืองแร่ทองคำจังหวัดพิจิตร เปิดเผยว่า เช้าวันเดียวกันนี้ นายสมคิด ธรรมเวช อดีตคนงานเหมืองแร่ทองคำของบริษัทอัคราไมนิ่ง รีสอร์สเซส ได้เสียชีวิตลงแล้วที่โรงพยาบาลพิจิตร ท่ามกลางความโศกเศร้าของญาติและพี่น้องชุมชนรอบเมืองแร่ทองคำ ภายหลังจากเมื่อสัปดาห์ที่แล้วญาติได้พานายสมคิดนำส่งมายังโรงพยาบาลด้วยอาการทรุดหนักจากโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง ส่วนสาเหตุการเสียชีวิตนั้น แพทย์เจ้าของไข้ยังไม่ได้ระบุ เนื่องจากนายสมคิดมีประวัติตรวจพบสารโลหะหนักปนเปื้อนในเลือด และเคยทำงานในเหมืองแร่ทองคำ ทางญาติจึงคาดว่าการเสียชีวิตอาจจะมีสาเหตุจากการได้รับสารพิษสะสมในร่างกายจนเกิดโรคร้ายที่คร่าชีวิต
นางสาวสื่อกัญญา ธีระชาติดำรง ชาวบ้านเขาหม้อ อำเภอทับคล้อ จังหวัดพิจิตร และตัวแทนผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการทำเหมืองแร่ทองคำในภาคเหนือตอนบน กล่าวว่า นายสมคิดเป็นอดีตคนงานเหมืองแร่ทองคำจังหวัดพิจิตรนานถึง 13 ปี โดยเป็นเจ้าหน้าที่โหลดสารเคมีที่ใช้ในการทำเหมือง จนภายหลังเริ่มมีอาการป่วยจนไม่สามารถทำงานได้ จึงต้องออกมารักษาตัวอยู่ที่บ้าน กระทั่งอาการทรุดหนักจนเสียชีวิต ขณะนี้ทางญาติจึงเตรียมเคลื่อนย้ายศพไปมอบให้กับสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ตามเจตนาของนายสมคิด ที่ต้องการมอบร่างกายเพื่อเป็นกรณีศึกษาผลกระทบต่อสุขภาพที่เกิดจากเหมืองแร่ทองคำ
ในวันเดียวกันเครือข่ายองค์ภาคประชาชนและนักวิชาการเพื่อการจัดการทรัพยากรแร่ของชาติอย่างยั่งยืนได้เผยแพร่จดหมายเปิดผนึกถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทรโอชา นายกรัฐมนตรี เรื่องขอให้ยุติโครงการให้สัมปทานเหมืองแร่และเร่งแก้ไข พรบ.แร่ เพื่อประเทศชาติและประชาชน รวมถึงระงับการดำเนินการเกี่ยวกับนโยบายเหมืองแร่และโครงการฯ ใหม่ต่างๆ และขอทราบผลการแก้ไขปัญหาที่มีอยู่ในปัจจุบัน โดยมีการยื่นข้อเสนอ 8 ข้อให้รัฐบาลพิจารณา และระบุว่าหากมีการเพิกเฉยไม่ดำเนินการใดๆ ภายใน 30 กันยายน 2558 ประชาชนจะรวมตัวกันเพื่อแสดงสิทธิและเสรีภาพของตนต่อไป
ดร.สมนึก จงมีวศิน นักวิชาการด้านสิ่งแวดล้อม หนึ่งในผู้ร่วมลงชื่อในจดหมายเปิดผนึกฯ กล่าวว่า เมื่อวานนี้ตัวแทนเครือข่ายภาคประชาชนได้ร่วมกันยื่นจดหมายเปิดผนึกถึงนายกรัฐมนตรีผ่านตัวแทนที่สำนักคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ เพื่อเป็นการแสดงจุดยืนคัดค้านนโยบายด้านเหมืองแร่และเรียกร้องให้มีการยกเลิกการเปิดสัมปทานเหมืองแร่ทองคำทั่วประเทศ เนื่องจากที่ผ่านมาหลายพื้นที่ต้องประสบกับผลกระทบรุนแรงต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม ที่เกิดจากกระบวนการทำเหมืองแร่ทองคำที่ไม่มีมาตรฐานความปลอดภัยที่เหมาะสม อีกทั้งประเด็นนี้ถือเป็นเรื่องละเอียดอ่อน เพราะกำลังเกิดกระแสคัดค้านเหมืองขึ้นทั่วประเทศ จนอาจจะนำไปสู่ความขัดแย้งของสังคมได้ ซึ่งขัดกับเป้าหมายของรัฐบาลที่ต้องการให้เกิดความปรองดองของคนในชาติ
“การทำเหมืองแร่ต้องพิจารณาถึงผลกระทบให้ดี เช่นจะจัดการกองกากแร่อย่างไร เพราะที่ผ่านมาเหมืองทองในไทยจัดการกากแร่ด้วยระบบเปิด แต่ด้วยสภาพอากาศของเมืองไทยมันไม่เหมาะกับระบบนี้ ยิ่งตัวเร่งให้เกิดการฟุ้งกระจายของกากแร่ที่เป็นสารพิษไปในอากาศและซึมลงดินอย่างรวดเร็ว จึงคิดว่าเมื่อเทคโนโลยีในปัจจุบันยังไม่พร้อมที่จะทำเหมืองอย่างปลอดภัย รัฐบาลก็ไม่ควรเร่งขุดทองขึ้นมาในตอนนี้” ดร.สมนึก กล่าว
ดร.สมนึก กล่าวต่อว่า ขณะนี้ประชาชนในภาคตะวันออกกำลังให้ความสนใจและตื่นตัวต่อการเปิดสัมปทานเหมืองแร่ทองคำของรัฐบาลอย่างมาก และเพิ่งมีการจัดการประชุมที่สภาเกษตรจังหวัดจันทบุรี โดยมีตัวแทนชาวบ้าน เครือข่ายภาคประชาชน และภาคธุรกิจจากระยอง ชลบุรี สระแก้ว และจันทบุรีเข้าร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็น โดยส่วนใหญ่มีความรู้สึกกังวลและไม่ต้องการให้มีการทำเหมืองทองคำในพื้นที่ เนื่องจากภาคตะวันออกถือเป็นแหล่งผลิตอาหารสำคัญของประเทศ จึงเกรงว่าหากมีเหมืองแร่ทองคำ อาจเกิดการรั่วไหลของสารพิษเข้าสู่พื้นที่การเกษตรของจันทบุรีและระยอง และไหลลงสู่พื้นที่ต่ำผ่านชลบุรีที่มีนิคมอุตสาหกรรมขนาดใหญ่และลงสู่อ่าวไทยอย่างรวดเร็ว ซึ่งจะส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง
นอกจากนี้เมื่อเวลา 21.00 น.ของเมื่อคืนวันที่ 9 กันยายนที่ผ่านมา ที่เทศบาลตำบลลำนารายณ์ อำเภอชัยบาดาล จังหวัดลพบุรี มีการเชิญประชุมชาวบ้านมาร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นถึงเรื่องที่จังหวัดลพบุรีเป็น 1 ใน 12 จังหวัดเป้าหมายของรัฐบาล ที่เตรียมจะเปิดสัมปทานเหมืองแร่ทองคำ โดยมีชาวบ้านกว่า 100 คนเข้าร่วม และมีการเชิญตัวแทนชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบจากเหมืองแร่ในพื้นที่ 3 จังหวัดภาคเหนือตอนล่างเข้าร่วมด้วย
นายณัฐพงษ์ แก้วนวล กลุ่มพิทักษ์สิ่งแวดล้อมเนินมะปราง จังหวัดพิษณุโลก กล่าวว่า หลังจากได้รับการประสานจากชาวบ้านในตำบลลำนารายณ์ว่า ต้องการข้อมูลเรื่องเหมืองทองและข้อมูลความเสี่ยงด้านสุขภาพและสิ่งแวดล้อมที่เป็นผลกระทบจากเหมืองแร่ทองคำ เราจึงตัดสินใจเดินทางมาบอกเล่าประสบการณ์และสะท้อนบทเรียนที่ชาวบ้านได้รับจากการมีเหมืองแร่ทองคำในพื้นที่ของเรา เพื่อให้ชาวบ้านได้รับรู้ข้อเท็จจริง และรู้จักแนวทางในการลุกขึ้นมาปกป้องสิทธิของชุมชนหากในอนาคตจะมีเหมืองแร่เกิดขึ้นในพื้นที่นี้ ซึ่งเมื่อมาถึงเราพบว่าชาวบ้านลำนารายณ์ไม่เคยรู้ตัวมาก่อนเลยว่ากำลังจะมีเหมืองแร่เกิดขึ้น จนกระทั่งมีหนังสือจากกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ หรือกพร.แจ้งมาถึงพื้นที่ จึงทำให้ชาวบ้านตกใจมาก และผู้นำท้องถิ่นก็ให้ความสนใจจนต้องจัดการประชุมชาวบ้านในวันนี้
นายณัฐพงษ์ กล่าวถึงกรณีที่ กพร.เลื่อนจัดเวทีรับฟังความคิดเห็นเหมืองแร่ทองคำอย่างกระทันกระทันหัน ว่า ทำให้ชาวบ้านเริ่มไม่ไว้วางใจ การทำงานของ กพร. เนื่องจากการจัดเวทีเป็นคำสั่งของอธิบดี กพร. แต่เมื่อมีกระแสคัดค้านรุนแรง กลางดึกวันที่ 8 กันยายนที่ผ่านมาจึงมีคำสั่งยกเลิกกะทันหันที่ลงนามโดยรองอธิบดีที่รักษาราชการแทน จึงไม่เข้าใจว่า กพร.มีวิธีการทำงานอย่างไร เนื่องจากตอนนี้เริ่มมีกระบวนการเคลื่อนใต้ดินของกลุ่มผู้สนับสนุนเหมืองแร่ทองคำ ซึ่งมีชาวบ้านในพื้นที่แจ้งเข้ามาว่า มีรถขยายเสียงเข้ามาในชุมชน แจ้งข้อมูลด้านดีของการมีเหมือง เช่น ราคาที่ดินจะแพงขึ้นหากมีเหมืองเกิดขึ้น เป็นต้น อย่างไรก็ตามขณะนี้เครือข่ายภาคประชาชนจึงเร่งรวบรวมรายชื่อ 20,000 รายชื่อ เพื่อยื่นคัดค้านนโยบายการทำเหมืองทองคำ ซึ่งก็ยังไม่มั่นใจว่าจะมีผลต่อการตัดสินใจของรัฐบาลแค่ไหน เพราะเราเคยมีบทเรียนที่เคยผลักดัน พรบ.ป่าชุมชน และเรื่องที่ดิน จึงคิดว่าอาจจะเป็นเรื่องยาก แต่เราชื่อว่าเป็นสิ่งจำเป็นที่ชาวบ้านในพื้นที่ต้องร่วมกันแสดงพลัง โดยคาดว่าจะพร้อมยื่นรายชื่อทั้งหมดให้รัฐบาลได้ภายในเดือนกันยายนนี้
—————–