สำนักข่าวต่างประเทศอย่าง วอชิงตันโพสต์ รายงานโดยอ้างอิงจากรายงานฉบับล่าสุดขององค์กร Simon – Skjodt Centerว่า พม่าเป็น 1 ใน 10 ประเทศ ที่มีความเสี่ยงว่าอาจเกิดเหตุฆ่าล้างเผ่าพันธุ์มากที่สุด เนื่องจากสงครามที่ยังเกิดขึ้นต่อเนื่องในพม่า โดยสัญญาณเตือนล่วงหน้าที่อาจจะเกิดการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ยังรวมถึงปัญหาชาวโรฮิงญา ซึ่งเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่ไม่ได้รับการยอมรับจากรัฐบาลพม่าและถูกละเมิดสิทธิมนุษยชน จนทำให้ชาวโรฮิงญาตัดสินใจทิ้งชีวิตในพม่ากลายเป็นผู้อพยพทางเรือเร่ร่อนอยู่กลางทะเล เพื่อแสวงหาประเทศใหม่ตั้งรกราก
ในรายงานของ องค์กร Simon – Skjodt Center เผยว่า 10 ประเทศที่เสี่ยงจะเกิดการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ได้แก่ พม่า ไนจีเรีย ซูดาน อียิปต์ สาธารณรัฐแอฟริกากลาง ซูดานใต้ สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก อัฟกานิสถาน ปากีสถาน และเยเมน โดยยิ่งมีสงครามก็ยิ่งทำให้มีความเสี่ยงมากขึ้นเท่านั้น
ขณะที่สงครามในรัฐฉานยังดำเนินต่อไป มีรายงานเกิดเหตุการณ์ละเมิดสิทธิมนุษยชนเมื่อวันที่ 23 กันยายน เมื่อเวลา 17.00 น.ทหารพม่าได้ยิงปืนใส่หมู่บ้านกองแว้ด เขตเมืองหมู่เจ้ ทางเหนือรัฐฉาน กระสุนปืนถูกหญิงรายหนึ่งได้รับบาดเจ็บที่ขา นอกจากนี้ยังมีควายของชาวบ้านได้รับบาดเจ็บ บ้านเรือนของชาวบ้านจำนวน 16 หลังคาเรือนก็ได้รับความเสียหาย หลังทหารพม่ายิงปืนใส่หมู่บ้านแล้วยังได้เข้าไปข่มขู่ไถเงินชาวบ้านไปอีกจำนวน 11,565,514 จั้ต(ประมาณ 324,860 บาท) รวมทั้งทำลายข้าวของชาวบ้านได้รับความเสียหาย ชาวบ้านในพื้นที่ร้องเรียนว่า พฤติกรรมของทหารพม่านั้นไม่แตกต่างจากโจรในเครื่องแบบ สืบเนื่องมาจากการเข้าไปละเมิดสิทธิมนุษยชนชาวบ้านในเขตเมืองหมู่เจ้นั้น เป็นเพราะเพิ่งเกิดเหตุสู้รบกันระหว่างทหารพม่าและทหารคะฉิ่น KIA ในพื้นที่นี้
นอกจากทำสงครามกับทหารไทใหญ่ RCSS/SSA ทหารปะหล่อง TNLA แล้ว มีรายงานว่า ทหารพม่ายังได้เปิดฉากรบกับทหารคะฉิ่น KIA อย่างหนักโดยเฉพาะในอำเภอม่านเจ้ จังหวัดบะหม่อ รัฐคะฉิ่น ทำให้ชาวบ้านจำนวน 200 คน ต้องอพยพหนีตายออกจากบ้านเรือนของตัวเองไปอยู่ที่โบสถ์
ที่มา www.taifreedom.com/Washington Post
