วันที่ 31 มกราคม 2560 นายพสิษฐ์ ถาวรล้ำเลิศ ทนายความชาวเลราไวย์ เปิดเผยว่า วันนี้ศาลจังหวัดภูเก็ต ได้มีคำพิพากษายกฟ้องในคดีที่นายจำเริญ มุกดี ทายาทนายทัน มุกดี เจ้าของที่ดินตามโฉนดเลขที่ 8342 ฟ้องขับไล่ชาวเลราไวย์ อำเภอเมือง จังหวัดภูเก็ต 4 ราย ได้แก่ นายบัญชา หาดทรายทอง, นายวรณัน หาดทรายทอง, นายแอ่ว หาดทรายทอง และนายนิรันดร์ หยังปาน
นายบัญชา ชาวเลราไวย์ กล่าวว่า คำพิพากษาในวันนี้ เป็นคำพิพากษาคดีที่ดินแปลงเดียวกับที่ศาลได้พิพากษายกฟ้อง นายจรูญ หาดทรายทอง และนางแต๋ว เซ่งบุตร เมื่อเดือนธันวาคม 2559 โดยศาลได้วินิจฉัยว่า ชาวเลราไวย์คือผู้ที่มีสิทธิในที่ดิน และการออกโฉนดดังกล่าวเป็นการออกไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงพิพากษายกฟ้อง
“ต้องขอบคุณ ทนายความ กรมสอบสวนคดีพิเศษเจ้าหน้าที่และองค์การพัฒนาเอกชนทุกท่าน ที่ช่วยเหลือพวกเรา ผลพิพากษาวันนี้ทำให้รู้ว่า ความยุติธรรมยังมีอยู่จริง และชาวเลราไวย์เริ่มแข็งแกร่งขึ้น ดีใจที่มีคณะกรรมการแก้ไขปัญหาชาวเลที่มีพลเอกสุรินทร์พิกุลทองเป็นประธานและร่วมทุกร่วมสุขกับชาวบ้านมาโดยตลอดที่ดินที่อยู่อาศัยในขณะนี้เป็นที่ดินแปลงสุดท้ายแล้วที่จะทำให้ผมและครอบครัวสามารถดำรงชีวิตอยู่ต่อไปได้ในฐานะพลเมืองของไทยพวกเราแทบไม่มีอะไรต่อรองเมื่อผลออกมาเป็น แบบนี้ เราจะทำกินสบายใจขึ้น”นายบัญชา กล่าว
ด้านนายนิรันดร์ หยังปาน ชาวเลราไวย์ กล่าวว่า วันนี้มีชาวบ้านนับร้อยมาร่วมลุ้นคำพิพากษา ตนรู้สึกโล่งใจที่ผลพิพากษาออกมาเช่นนี้ และทำให้สามารถมีชีวิตที่มีความหวังมากขึ้น เพราะที่ผ่านมาชาวเลยังถูกเอาเปรียบโดยตลอดในวันนี้จึงเป็นเหมือนทางสว่างเป็นคดีตัวอย่างที่ทำให้รู้ว่าหากเรามีหลักฐานเพียงพอก็ไม่จำเป็นต้องกลัวอะไร เชื่อว่าฝ่ายโจทก์ซึ่งเป็นนายทุนจะต้องมีการยื่นอุทธรณ์พยายามเอาชนะชาวบ้านให้ได้แต่ขณะนี้ตนและชาวบ้านที่ถูกดำเนินคดียังคงมีความหวังอยู่เลยเชื่อว่าข้อเท็จจริงที่ทุกฝ่ายให้ความร่วมมือ จะนำความเป็นธรรมมาสู่ชุมชนชาวเลราไวย์
นายนิรันดร์ กล่าวต่อว่า แม้ชาวเลราไวทั้ง 7รายจะได้รับความเป็นธรรมจากศาลชั้นต้นแล้วก็ตาม แต่ยังมีชาวเลอีกหลายรายที่ต้องต่อสู้กับคดีพิพาทที่ดินในตำบลราไวย์ ต่อ เช่น พรุ่งนี้มีกรณีของนายอาหลิน หาดทรายทองที่อาศัยอยู่ในที่ดินแปลงเดียวกัน (ที่ดินเนื้อที่แระมาณ 19 ไร่) ศาลอยู่ระหว่างนัดสืบพยาน แต่กรณีนายอาหลิน นี้ เป็นนายทุนอีกราย ไม่ใช่นายทุนคนเดียวกันที่ฟ้องร้องตนและพรรคพวกในวันนี้ และมีอีกเป็น 100 คดีที่อยู่ในระหว่างกระบวนการต่อสู้
อนึ่งสำหรับข้อมูลสถานการณ์ข้อพิพาท ที่ดินราไวย์นั้น กรณีชาวเลย์ที่ได้รับการยกฟ้องในคดีดังกล่าวทั้ง 7 รายอาศัยอยู่ในที่ดินมีขนาดเนื้อที่ประมาณ 19 ไร่ ร่วมกับชาวเลรายอื่นรวมกว่า 2,000ราย และมีปัญหาข้อพิพาทที่ดินมาโดยตลอด ซึ่งชาวเลยืนยันมาเสมอว่ามีการตั้งชุมชนมาช้านานและยืนยันว่าไม่ได้เป็นผู้บุกรุก โดยมีกรรมการแก้ไขปัญหาความมั่นคงทางที่อยู่อาศัยที่ทำกินในพื้นที่ทางจิตวิญวิญญาณของชาวเล ให้คำปรึกษาแบะคิดตามช่วยเหลือมาโดยตลอด โดยร่วมมือกับกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ สถาบันวิจัยเพื่อสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มูลนิธิชุมชนไท กรมศิลปากร สำนักงานยุติธรรมจังหวัดภูเก็ต ที่พยายามหาหลักฐานและสืบค้นข้อมูลจนค้นพบว่าเอกชนออกโฉนดที่ดินทับที่อยู่อาศัยชาวเล จนนำมาสู่การพิจารณาในชั้นศาล
และศาลได้พิพากษายกฟ้องเพราะพบหลักฐานที่สามารถพิสูจน์ได้ว่า ชาวเลราไวย์ได้อาศัยอยู่ก่อนการออก ส.ค.1 และโฉนดที่ดินของโจทก์ (เอกชน) ที่ยื่นฟ้องไม่ว่าจะเป็นภาพถ่ายทางอากาศย้อนอดีต โครงกระดูกที่ขุดค้นพบที่พื้นที่พิพาท ซึ่งตรวจ DNA แล้วมีความสัมพันธ์กับบุคคลในชุมชนในลักษณะเครือญาติ โดยเฉพาะเจ้าของบ้านที่ทำการขุดค้น นอกจากนี้ ยังพบว่าทะเบียนนักเรียนเล่มแรกของโรงเรียนวัดสว่างอารมณ์ ตำบลราไวย์ อำเภอเมืองภูเก็ต พบรายชื่อชาวเลราไวย์ เข้ามาศึกษา เมื่อปี 2497 (ก่อนออก ส.ค.1)