เมื่อวันที่ 5ตุลาคม 2558 ชาวบ้านในนามเครือข่ายสลัมสี่ภาคและภาคีเครือข่ายต่างๆที่เป็นสมาชิกในขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม ( ขปส.) หรือพีมูฟ ประมาณ1,000 คน ได้เดินขบวนรณรงค์เนื่องในวันที่อยู่อาศัยโลก ซึ่งจะจะตรงกับวันจันทร์แรกของเดือนตุลาคม ตามประกาศขององค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ซึ่งทางเครือข่ายได้เริ่มรวมตัวชุมนุมตั้งเวลา 07.00 น. และแยกย้ายกันในเวลา 12.00 น.
ทั้งนี้ผู้ชุมนุมได้ทำกิจกรรมรณรงค์ร่วมกัน อาทิ การรำขบวนกลองยาว การถือป้ายข้อความเชิงรณรงค์ด้านการจัดการที่ดินและปฏิรูปที่ดินเพื่อความเป็นธรรม และการสร้างความชอบธรรม พร้อมกิจกรรมระดมเงินทอดผ้าป่าช่วยเหลือสมาชิกเครือข่ายสลัมสี่ภาคที่ได้รับปัญหาจากการไล่รื้อ เช่น ชาวชุมชนบ้านเก้าบาตร อำเภอโนนดินแดง จ.บุรีรัมย์ ที่ถูกไล่รื้อมาแล้ว 3 ครั้ง จากนั้นยื่นหนังสือต่อตัวแทนยูเอ็นและเคลื่อนขบวนเข้าทำเนียบรัฐบาล พร้อมยื่นหนังสือต่อม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ก่อนแยกย้ายกันกลับ
นายจำนง หนูพันธุ์ ประธานเครือข่ายสลัมสี่ภาค กล่าวก่อนการยื่นหนังสือว่า จากการทำงานของเครือข่ายช่วงที่ผ่านมา พบว่าในประเทศไทยมีชุมชนที่อยู่ในสถานการณ์ไล่รื้อจำนวน 86 ชุมชน 6,100 ครอบครัว 34,000 คน อันมีสาเหตุมาจากโครงการก่อสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่ง ที่เชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งรถไฟฟ้า รถไฟความเร็วสูง การขยายทางคู่ เป็นต้น ซึ่งเป็นการเอื้อประโยชน์ต่อการลงทุน ทั้งทุนในประเทศและทุนนอกประเทศ โดยบริเวณโครงการพัฒนาของรัฐนั้น เป็นแหล่งเหมาะกับการลงทุน เช่น การสร้างคอนโดมิเนียม เป็นต้น ซึ่งอาจส่งผลให้คนจนที่ถูกไล่ที่ กลายเป็นคนไร้บ้านใน
นายจำนงกล่าวว่า เนื่องในโอกาสวันที่อยู่อาศัยโลกประจำปี 2558 ทางเครือข่ายสลัมสี่ภาค เรียกร้องให้องค์กรสหประชาชาติใช้ความพยายามมากกว่านี้เพื่อกระตุ้นเตือนรัฐบาลไทย และรัฐบาลประเทศต่างๆ ดำเนินการพัฒนา ที่เคารพต่อสิทธิมนุษยชนและสิทธิที่จะมีที่อยู่อาศัยที่มั่นคง ซึ่งเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของมนุษย์
ขณะที่นายราม ทิวารี รักษาการผู้อำนวยการฝ่ายนโยบายสิ่งแวดล้อมของยูเอ็นและนายเลียม ฟี เจ้าหน้าที่ยูเอ็นในประเทศไทยเป็นตัวแทนรับหนังสือร้องเรียนจากเครือข่าย ร่วมกันอ่านคำแถลงการณ์เนื่องในวันที่อยู่อาศัยโลกจากนายบัน คีมูน เลขาธิการยูเอ็น มีใจความสำคัญว่า ปีนี้ยูเอ็นตั้งเป้าหมายให้นานาชาติมีการให้สิทธิคนจน คนมีรายได้น้อย เด็ก และสตรี สามารถเข้าถึงพื้นที่สาธารณะ และการให้สิทธิขั้นพื้นฐานมากขึ้น โดยไม่มีการแบ่งแยกชาติ ศาสนา เนื่องจากการประกอบรวมของสังคมนั้นพื้นที่สาธารณะเป็นส่วนเติมเต็มให้สังคมดูมีชีวิตชีวา ซึ่งหากแต่ละประเทศจะมีโครงการพัฒนาด้านต่างๆก็ต้องเปิดพื้นที่การมีส่วนร่วมของประชาชนทุกชนชั้น
ด้านตัวแทนชาวอำเภอโนนดินแดง กล่าวในระหว่างการเดินขบวนรณรงค์ว่า การไล่รื้อชุมชนช่วงที่ผ่านมาเป็นการผลักไสให้ชาวบ้านกลายเป็นส่วนเกินของสังคม และเป็นการทรมานคนจนเพื่อให้อดตายเพื่อรองรับการเติบโตของคนเมือง ที่มีศักยภาพในการใช้จ่ายค่าโทรคมนาคมที่ราคาแพง แต่เกษตรกรและลูกจ้างแรงงานไร้ฝีมือในประเทศไทย รัฐบาลและทุนกำลังทำร้ายและพยายามปัดกวาดคนกลุ่มนี้ให้พ้นสภาพภูมิทัศน์ประเทศ
“ชีวิตช่วงหนึ่งของเราเคยขุดมัน ปลูกข้าว หาปลา วันหนึ่งพอรถไฟผ่านมา คอนโดฯ เข้ามา เหมือง ทุน อุตสาหกรรมเข้ามา พื้นที่สาธารณะ ป่า และแม่น้ำ ถูกรัฐครอบครองแล้วปล่อยทุนเอกชนเช่าทำประโยชน์ ชีวิตคนโนนดินแดงที่ถูกไล่รื้อโดยแผนทวงคืนผืนป่า เป็นเครื่องมือที่ทำให้ชาวบ้านตายช้าๆ และไม่นานคนรุ่นหลังจะเห็นแค่อุตสาหกรรมเท่านั้น เกษตรคงจะหายไป” ชาวบ้านโนนดินแดง กล่าว
ดร.เพิ่มศักดิ์ มกราภิรมย์ นักวิชาการด้านที่ดิน ให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมว่า จากกรณีการไล่รื้อชุมชนแออัดในเมืองใหญ่ของประเทศไทยและการทวงคืนผืนป่าในปัจจุบันเพื่อพัฒนาเมืองและเส้นทางคมนาคม ตลอดจนทวงคืนพื้นที่สีเขียว เป็นการขยายกลุ่มคนจนให้เพิ่มขึ้นนั้นส่วนมากเพื่อการดึงดูดการลงทุนโดยเอกชนทั้งในประเทศและต่างประเทศ ขณะนี้กัมพูชาก็เปิดขายบ้านเดี่ยวให้ต่างชาติครอบครองแล้ว ส่วนประเทศไทยถ้าสังเกตการครอบครองอาคารพาณิชย์ ตึกสูง ส่วนมากก็จะพบว่ามีแต่ชาวต่างชาติเท่านั้น ที่มีศักยภาพซื้อส่วนคนไทยก็มีอยู่แต่มีรายได้สูง มีความพร้อมจะซื้อ ขาย ทั้งนี้เหตุผลที่รัฐบาลต้องสนับสนุนคนกลุ่มนี้และไม่สนับสนุนคนมีรายได้น้อย เพราะรัฐบาลไม่ได้กำไรและเงินทอนจากคนจน แต่ถ้าพิจารณาลึกๆลงไปแล้ว จะพบว่า ชาวนา ชาวไร่ และคนจนเมืองมีกำลังพอจะพัฒนาประเทศและจ่ายภาษีได้ แต่บริการของรัฐก็ต้องเข้าถึงเขาด้วย เช่นสร้างระบบสาธารณูปโภคเพื่อชาวบ้านบ้างเช่น น้ำ ไฟ ระบบการซื้อสินค้าการเกษตร การหาตลาดรองรับอื่นก็ควรมีการอำนวยความสะดวกให้แก่ชาวบ้านบ้าง
ดร.เพิ่มศักดิ์ กล่าวว่าส่วนคนจนเมืองเป็นกลุ่มมีเงินจะจ่ายค่ารถเมล์ราคาถูก เดิมทีอยู่ใจกลางเมืองค่ารถไม่แพงก็ไปทำงานได้ไม่ยาก แต่ต่อมารัฐบาลจะสร้างรถฟ้าก็มีความพยายามอพยพย้ายคนจนออกเพื่อให้อยู่ไกลเมือง ค่ารถของคนกลุ่มนี้ต้องสูงขึ้นแน่นอนเพราะระยะทางไกล ขณะที่คนเมืองมีเงินจะจ่ายแต่รัฐพยายามอุ้มคนกลุ่มนี้ให้จ่ายน้อย จ่ายประหยัดโดยสร้างเส้นทางรถไฟฟ้าเชื่อมศูนย์การค้ามีชื่อเสียง สถานที่สำคัญ กลายเป็นว่าการกระจายความสะดวกของการคมนาคมเอื้อคนมีเงินมากกว่าคนจน
ดร.เพิ่มศักดิ์ กล่าวด้วยว่า การพัฒนาในประเทศไทย ลาว กัมพูชา และพม่า ขณะนี้ทำคล้ายกันคือ ไล่คนชนบท คนในชุมชนแออัดออก เพื่อขยายการพัฒนาแต่จะสังเกตว่า ไม่มีการไล่รื้อแหล่งโรงงาน รีสอร์ท โรงแรม หรืออาคารพาณิชย์ ซึ่งเป็นนโยบายที่สวนทางกับประเทศชั้นนำในภูมิภาคอาเซียน อย่างเช่น กรณีสิงคโปร์ มาเลเซีย สองประเทศนี้มีจีดีพีสูงมาก สิงคโปร์มีจีดีพีสูงกว่าไทย 10 เท่า ส่วนมาเลเซียมีสูงกว่าไทย 5 เท่า คนจน คนรายได้น้อยในประเทศนี้แม้จะมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ไม่หรูหรา แต่ไม่ได้ถูกกระทำคล้ายกับประเทศไทยและเพื่อนบ้าน คนจนของสองประเทศนี้ยังมีสิทธิในการอยู่ใจกลางเมืองและมีสิทธิในท้องถิ่นของตนเอง
///////////////////////////////////////