เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2558 กลุ่มองค์กรภาคประชาสังคมที่ติดตามการลงทุนของไทยในประเทศเพื่อนบ้าน อาทิ ศูนย์ข้อมูลชุมชน เสมสิกขาลัย องค์กรแม่น้ำนานาชาติ เอิทไรท์ ได้ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้รัฐบาลไทยเร่งบังคับใช้กฎหมายการลงทุนในต่างแดนพร้อมจัดตั้งคณะกรรมการกำกับดูแลการลงทุน เพื่อป้องกันความเสียหายทางสังคมและสิ่งแวดล้อมที่จะเกิดจากโครงการลงทุนต่างๆ ของไทยในต่างประเทศ และเพื่อปกป้องชื่อเสียงของชาติ
“ผู้ประกอบการไทยกำลังเดินหน้าก่อสร้างโครงการพัฒนาขนาดใหญ่ที่ชุมชนต่างๆ ในประเทศไทยประท้วงคัดค้าน อีกทั้งยังเป็นโครงการที่ไม่ได้มาตรฐานตามกฎหมายไทย แต่กลับนำไปสร้างในประเทศเพื่อนบ้านที่มีกระบวนการยุติธรรมที่อ่อนแอกว่า เช่น เขมร ลาว และพม่า” น.ส.อารีวัณย์ สมบุญวัฒนกุล จากเสมสิกขาลัย กล่าว
กลุ่มองค์กรภาคประชาสังคมได้ออกแถลงการณ์ข้อเรียกร้องนี้ ในระหว่างรอฟังคำตัดสินของศาลปกครองในวันที่ 25 ธันวาคม 2558 กรณีกลุ่มชาวบ้านไทยที่อาศัยอยู่ริมฝั่งแม่น้ำโขง 8 จังหวัด ได้ยื่นฟ้องคัดค้านข้อตกลงของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และหน่วยงานรัฐอีก 4 องค์กรที่ลงนามจัดซื้อไฟฟ้าร้อยละ 90 จากกำลังผลิตของเขื่อนไซยะบุรี ซึ่งตั้งอยู่ในประเทศลาวและอยู่ระหว่างก่อสร้างโดยการลงทุนของบริษัทสัญชาติไทย ในวงเงิน 3,500 ล้าน ดอลลาร์สหรัฐฯ (กว่า 1 แสนล้านบาท)
ในแถลงการณ์ระบุว่า คดีเขื่อนไซยะบุรี เป็นที่จับตาของสาธารณะทั้งในประเทศไทย ระดับภูมิภาคและระดับโลก เนื่องจากสะท้อนข้อถกเถียงเกี่ยวกับผลกระทบจากการก่อสร้างเขื่อนขนาดใหญ่ต่อวิถีชีวิตของชุมชนที่พึ่งพาแม่น้ำเพื่อการอยู่รอด เช่น ความเสียหายต่อพันธุ์ปลา การไหลเวียนของลำน้ำและตะกอนดิน การกัดเซาะชายฝั่งในพื้นที่ท้ายน้ำของเขื่อน เป็นต้น พื้นที่สองฝั่งริมแม่น้ำโขงเป็นที่อยู่อาศัยของประชากรกว่า 60 ล้านคน และเป็นชุมชนที่พึ่งพาทรัพยากรจากแม่น้ำเพื่อความมั่นคงทางอาหารและการอยู่รอด ยังมีงานศึกษาไม่เพียงพอเรื่องผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากโครงการ และปัจจุบัน ยังไม่มีการจัดทำรายงานประเมินผลกระทบข้ามแดนด้านสิ่งแวดล้อม (transboundary EIA) นอกจากนี้ ชุมชนที่จะได้รับผลกระทบจากโครงการนี้ทั้งในฝั่งไทยและประเทศเพื่อนบ้านยังถูกปฏิเสธสิทธิในการร่วมปรึกษาหารือ และไม่มีโอกาสได้แสดงความคิดเห็นและข้อห่วงใยเพื่อให้มั่นใจว่าโครงการพัฒนาจะคุ้มครองสิทธิและผลประโยชน์ของชุมชน
ในแถลงการณ์ระบุด้วยว่า ผู้ลงทุนโครงการก่อสร้างเขื่อนไซยะบุรี ได้แก่ บริษัท ช.การช่าง ซึ่งเป็นผู้นำการลงทุนและผู้รับเหมาก่อสร้าง โดยมีธนาคารไทย 6 แห่งที่ปล่อยสินเชื่อให้แก่โครงการนี้ ได้แก่ ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกรุงไทย ธนาคารทิสโก้ และธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (เอ็กซิมแบงค์)
นางสาวส.รัตนมณี พลกล้า หัวหน้าทีมกฎหมายซึ่งรับมอบหมายให้ดำเนินการในคดีนี้ กล่าวว่าปัจจุบัน ประเทศไทยยังไม่มีกฎหมายป้องกันการลงทุนที่ไร้ความรับผิดชอบในต่างแดน ยิ่งไปกว่านั้น ประเทศเพื่อนบ้านของเรายังมีสถาบันทางกฎหมายไม่เพียงพอต่อการกำกับการลงทุน และประชาคมอาเซียนก็ล้มเหลวในการสร้างกรอบกติการะดับภูมิภาคเพื่อกำกับดูแลมาตรฐานทางสังคมและสิ่งแวดล้อมของโครงการลงทุน
“ยกตัวอย่างเช่น ประเทศพม่าและเขมร ปัจจุบันยังไม่มีกรอบกฎหมายเรื่องการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ) และประเทศลาว เขมร และพม่า ยังขาดสถาบันที่มีศักยภาพเพียงพอต่อการตรวจสอบทบทวนการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมของโครงการพัฒนาขนาดใหญ่”นางสาว ส.รัตนมณี กล่าว
ขณะที่เพียรพร ดีเทศน์ แห่งองค์กรแม่น้ำนานาชาติ กล่าวว่าครั้งนี้เป็นโอกาสของรัฐไทยที่จะเป็นผู้นำในระดับภูมิภาคในการปฏิบัติตามแบบอย่างที่ดีที่สุด (best practices) โดยออกกฎหมายเรื่องการลงทุนในต่างแดน และจัดตั้งองค์กรกำกับดูแลการลงทุนไทยในต่างประเทศ
ด้านเครือข่ายชาวบ้านใน 8 จังหวัดริมแม่น้ำโขง กว่า 40 คน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ฟ้องคดีได้เตรียมเดินทางมารับฟังคำพิพากษาของศาลปกครองที่ถนนแจ้งวัฒนะ โดยนัดหมายมาถึงพร้อมกันในเวลา 08.30 น.ของเช้าวันที่ 25 ธันวาคม 2558 และหลังจากทราบผลคำวินิจฉัยจะมีการเปิดแถลงข่าว
————————
ข้อมูลคดีเขื่อนไซยะบุรี
• ปี 2554 การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ลงนามในสัญญาซื้อขายพลังงานร้อยละ 95 จากกำลังไฟฟ้าที่ผลิตจากเขื่อนไซยะบุรี บนพื้นฐานความเห็นชอบจากหน่วยงานรัฐของไทยอีก 4 องค์กร
• กลุ่มประชาชนไทย 8 จังหวัดในลุ่มน้ำโขง จำนวน 37 คน จากจังหวัดเชียงราย ถึง อุบลราชธานี เป็นโจทก์ยื่นฟ้องหน่วยงานรัฐ 5 องค์กร รวมถึง คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ คณะรัฐมนตรี และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.)
• คำฟ้องอ้างว่า การอนุมัติสัญญาซื้อขายพลังงานของโครงการนี้เป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย ขัดต่อรัฐธรรมนูญราชอาณาจักรไทย และขัดต่อข้อตกลงแม่น้ำโขง ปี 2538 นอกจากนี้ สัญญาซื้อขายพลังงานระหว่าง กฟผ. และบริษัท ไซยะบุรี พาวเวอร์ จำกัด ได้รับการเห็นชอบโดยไม่มีการประเมินผลกระทบข้ามแดนทางสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ และไม่มีกระบวนการรับฟังความคิดเห็นในประเทศไทย ซึ่งขัดต่อรัฐธรรมนูญราชอาณาจักรไทย ศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งรับฟ้องเมื่อเดือนมิถุนายน 2557
• ในการออกคำสั่งรับฟ้อง ศาลปกครองสูงสุดได้วินิจฉัยว่าชุมชนในประเทศไทย “มีสิทธิที่จะมีส่วนร่วมในการจัดการ ดูแล อนุรักษ์ และใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในวิถีที่สมดุลและยั่งยืน เพื่อจะดำรงชีพได้อย่างปกติและต่อเนื่องในสภาพแวดล้อมที่ไม่เป็นอันตรายต่อสุขอนามัย สวัสดิภาพ และคุณภาพชีวิต”
ลำดับเหตุการณ์ โครงการเขื่อนไซยะบุรี
• ตุลาคม 2554 – การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยลงนามสัญญาซื้อขายพลังงานกับบริษัท ไซยะบุรี พาวเวอร์ จำกัด เพื่อจัดซื้อไฟฟ้าร้อยละ 95 จากเขื่อนไซยะบุรีในประเทศลาว
• 7 สิงหาคม 2555 – ประชาชน 37 คน ตัวแทนเครือข่ายชุมชน 8 จังหวัดในลุ่มแม่น้ำโขง จากภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ยื่นฟ้องคดีต่อศาลปกครองไทย คัดค้านการลงนามมีส่วนร่วมในสัญญาซื้อขายพลังงานจากเขื่อนไซยะบุรีของหน่วยงานรัฐไทย 5 องค์กร
• กุมภาพันธ์ 2556 – ศาลปกครองมีคำสั่งไม่รับฟ้องโดยอ้างว่านอกเหนือเขตอำนาจศาล
• มีนาคม 2556 – โจทก์ยื่นอุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุด
• 24 มิถุนายน 2557 – ศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งรับฟ้อง
• 17 ตุลาคม 2557 – เครือข่ายชุมชนไทยยื่นคำร้องขอให้ศาลสั่งคุ้มครองชั่วคราว ระงับการก่อสร้างเขื่อนไซยะบุรีจนกว่าศาลจะออกคำพิพากษา
• 24 กรกฎาคม 2558 – โจทก์นำเสนอพยานหลักฐานชุดสุดท้ายต่อศาล
• 30 พฤศจิกายน 2558 – กระบวนการพิจารณาคดีครั้งแรก
• 25 ธันวาคม 2558 – กำหนดอ่านคำพิพากษาศาลปกครอง
——————