Search

ความหวังเล็กๆ ของครอบครัว “หาญทะเล” หลังทุนใหญ่รุกราน “ปาไตอูเส็น”

received_1085973878112563
บ้านแมะบน หาญทะเล

ซอกเล็กๆที่มีช่องว่างแค่ประมาณ 20 เซนติเมตร แคบเสียจนคนเดินผ่านไป-ผ่านมา ต้องตะแคงข้างร่างกายเดินผ่านหรือไม่ ต้องเดินแบบก้มต่ำลอดผ่านศาลาหลังเล็กขนาดความกว้างแค่ 5 เมตร ส่วนความสูงก็เพียง 1 เมตรครึ่งเท่านั้น เพื่อเดินไปสู่ชายหาดซันไรส์ (ปาไตอูเส็น) และด้านหน้าจะมีศาลาอีกหลังที่ไม่มีประตู ไม่มีหน้าต่าง

เดิมที่ศาลาทั้ง 2 หลังนั้น หัตติเริง หาญทะเล ชาวอูรักลาโว้ยบนเกาะหลีเป๊ะ จังหวัดสตูล ตั้งใจจะเปิดเป็นร้านขายน้ำดื่ม บริการนักท่องเที่ยวเป็นธุรกิจเสริมที่ช่วยสร้างรายได้ให้ครอบครัว ใช้ศาลาหลังแรกขายของศาลาหลังที่2เป็นเรือนนอน ทว่าเกิดข้อพิพาทระหว่างนายทุนเสียก่อน ทำให้โครงการเล็กของหัตติเริง และครอบครัวต้องชะงักลงไป

received_1085973941445890
คุณยายแมะบน หาญทะเล

วันที่ 5 เมษายน เป็นวันครบกำหนดเดิมที่สำนักงานบังคับคดี จังหวัดสตูล ติดป้ายประกาศให้หัตติเริง และญาติๆ ย้ายออกจากพื้นที่ดังกล่าวพร้อมทั้งรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่นายทุนอ้างว่าสร้างในที่ดิน นส.3แปลงที่ 10 ซึ่งผู้ครอบครองปัจจุบัน คือ นายณรงค์ศักดิ์ ปัทมปาณีวงศ์ แต่ด้วยเหตุที่หัตติเริง ได้ร้องเรียนกับคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) และคณะกรรมการแก้ไขปัญหาความมั่นคงด้านที่อยู่อาศัย พื้นที่ทำกินและพื้นที่จิตวิญญาณของชุมชนชาวเล สำนักนายกรัฐมนตรี พร้อมทั้งได้ส่งหนังสือไปยังสำนักงานอุทยานแห่งชาติตะรุเตา เพื่อขอเอกสารผลตรวจสอบข้อเท็จจริง ผลปรากฏว่า ที่ดินของหัตติเริง และเครือญาติไม่ได้ตั้งอยู่ในกรรสิทธิ์ของนายณรงค์ศักดิ์ จึงทำให้การไล่รื้อตามหมายของสำนักงานบังคับคดี กรมบังคับคดีไม่เป็นผลสำเร็จ

received_1085974064779211
ภาพถ่ายทางอากาศสภาพเกาะหลีเป๊ะ ของสำนักงานอุทยานแห่งชาติตะรุเตา

การออกหนังสือชี้แจงจากสำนักงานอุทยานแห่งชาติตะรุเตา ที่แสดงผลการตรวจสอบรังวัดที่ดินเมื่อปี2558 นับว่าเป็นกระบวนการสำคัญที่ช่วยให้หัตติเริงและครอบครัวได้ดำรงอยู่บนที่ดินแห่งชนเผ่าอูรักลาโว้ยอีกครั้งอย่างภูมิใจ ทว่าความหวาดระแวงบนเกาะหลีเป๊ะ นั้นไม่ได้ลดน้อยลง เพราะล่าสุดหัตติเริงและครอบครับ ประกอบด้วยน้องสาวคือฉัตรพร พระอ๊ะ และมารดาคือ นางละม้าย พระอ๊ะ อลหม่านกับการเฝ้าสถานการณ์บนเกาะหลีเป๊ะ พร้อมกับชาวเลอีกหลายชีวิตที่พร้อมจะช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ต่างเฝ้าพื้นที่อย่างใกล้ชิด ขณะที่ฝ่ายทุนก็ส่งลูกจ้างมาเฝ้าพื้นที่เช่นกัน

เช้าวันที่ 6 เมษายน ละม้าย ผู้เป็นมารดา ได้ใช้เวลาเจรจาไกล่เกลี่ยกับฝ่ายทุนและชี้แจงถึงผลการตรวจสอบของอุทยานแห่งชาติตะรุเตาที่ระบุชัดเจนว่า ตนและญาติไม่ได้สร้างบ้านอยู่บนนส.3แปลงที่10 ตามที่นายทุนกล่าวอ้าง แม้ว่าที่ดินแปลงดังกล่าวเคยเป็นของ คือ นายสนู หาญทะเลก็ตาม แต่ตนและเครือญาติก็แทบไม่ได้สิทธิในการอยู่อาศัย เพราะช่วงหนึ่งมีนายหน้าค้าที่ดินบนเกาะหลีเป๊ะรายใหญ่ ที่เข้ามากว๊านซื้อและใช้เล่ห์กลในการครอบครองที่ดิน ทำให้สูญเสียสิทธิ์ที่ดินไปเพราะมีการเปลี่ยนมือของนายทุนอย่างรวดเร็ว ละม้ายและครอบครัวจึงได้ย้ายมาอยู่ในที่ดินของเครือญาติใน นส.3แปลงที่14ซึ่งผู้อ้างกรรมสิทธ์คนปัจจุบันนั้น ละม้ายและครอบครัวก็แทบไม่ทราบว่ากระบวนการได้มาอย่างไร เพราะตั้งแต่นายลาโบ๊ะ จากไปเมื่อปี 2556 การไล่รื้อบ้านและที่อยู่อาศัยก็รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ

received_1085974148112536
บรรยากาศของเด็กชาวเลที่เล่นน้ำ ณ หาดปาไต อูเส็น

“ฉันกับลูก กับแม่ต่อสู้กันไป ต่อสู้กันมากับคนแปลกหน้า เราแทบไม่รู้จักคนซื้อขายที่ดินด้วยซ้ำว่าเขาเป็นใคร ใครบ้างมาทำธุรกิจในเกาะหลีเป๊ะ แต่ฉันก็ไม่อยากให้วิญญาณพ่อไม่สบายใจ อยากให้พ่อลาโบ๊ะเข้าใจว่าฉันทำทุกอย่างเต็มที่แล้ว แต่ไม่รู้ว่าเราจะแพ้หรือชนะ ” ละม้าย กล่าวอย่างสิ้นหวัง

จากเอกสารรายงานการตรวจสอบการละเมิดสิทธิที่ดินบนเกาะหลีเป๊ะ โดยคณะกรรมการสิทธิมนุษยชน (กสม.) 2547 สมัยที่นายลาโบ๊ะ หาญทะเล บิดาของนางละม้าย หาญทะเลและเป็นตาของนายหัตติเริง สมัยยังมีชีวิตอยู่ นายลาโบ๊ะ ให้ปากคำกับ กสม. และมีการบันทึกชัดเจนว่า เดิมทีที่ดินที่นายลาโปบ๊ะอาศัยอยู่กับญาติๆ นั้นเป็นที่ดินที่ครอบครอง สค.1 แปลงที่14 ชื่อนายม่าเร็ม หาญทะเล ซึ่งต่อมาที่ดินแปลงดังกล่าวถูกออก นส.3 ทับในชื่อนายสุพล สมานุกร และถูกนายทุนภายนอกเข้ามาลงทุนทำกิจการที่พัก ร้านอาหาร

กรณีดังกล่าวชาวเลทุกคนยืนยันว่าเป็นการเปลี่ยนมือเจ้าของที่ดินโดยที่ชาวเลผู้ซึ่งมีความรู้ภาษาไทยไม่มากเสียเปรียบ กระทั่งเกิดข้อพิพาทที่รุนแรงขึ้นเมื่อเกาะหลีเป๊ะเติบโตด้านการท่องเที่ยว

จากปากคำของนายลาโบ๊ะ ที่ระบุในเอกสารบันทึกข้อมูลของ กสม.ปี2549 มีการเล่าประวัติความเป็นมาสั้นๆว่าชาวเลอูรักลาโว้ยเข้ามาตั้งถิ่นฐานซึ่งมีอาชีพหลักคือจับปลา และปลูกมะพร้าว รวมทั้งปลูกมะม่วงหิมพานต์ มะม่วงเบา โดยบรรพบุรุษนั้นได้อพยพมาจากจังหวัดภูเก็ต จากนั้นมีเถ้าแก่มารับซื้อของดังกล่าว บางครั้งมีการแลกเปลี่ยนของกับพริก กระเทียม และของอุปโภค บริโภคอื่นๆ ชาวเลบางคนไม่มีเงินซื้อของพอไปซื้อสินค้าบ่อยครั้งเถ้าแก่ก็ยึดที่ดินเป็นหลักประกัน ทำให้กระบวนการครอบครองที่ดินเริ่มซับซ้อนขึ้นกว่าเดิมและนำมาสู่การฟ้องร้องไล่ที่ในปัจจุบัน

ฉัตรพร พระอ๊ะ บุตรสาวของละม้าย เล่าว่า สถานการณ์การไกล่เกลี่ยในพื้นที่เป็นไปด้วยความกดดัน แต่เธอและพี่น้องทุกคนยังยืนยันจะสู้ ปัญหาหลักคือนายทุนเขาไม่ยอมรับเอกสารจากฝ่ายอุทยานแห่งชาติและยืนยันจะรื้อถอนให้ได้ ทั้งที่จามเอกสารที่ปรากฏนั้นฝ่ายทุนต่างหากที่รุกล้ำพื้นที่ชาวเลในกรรมสิทธิ์ สค.1 ของนายสนู หาญทะเล ซึ่งเป็นทวดของตนและเป็นปู่ของแม่ละม้าย หาญทะเล

“จริงๆ แล้วที่ดินที่เขาสร้างโรงแรม เขากินเนื้อที่เราไปตั้งเยอะ เขาก็ยังต้องการอีก แต่ละวันส่งลูกจ้างมาหาเรา มาเจรจาหลายครั้ง แต่เราให้ไม่ได้ เราเจอขู่ตั้งหลายครั้ง เราก็ต้องทน จะหนีก็ยากเพราะเราทิ้งแม่สู้ลำพังไม่ไหว แม่ก็ไม่รู้กฎหมายอะไรเลย ถ้าให้ที่ดินตรงนี้แก่เขา ยาย แม่ ฉัน พี่จะไปอยู่ที่ไหน ศาลาเล็กๆ ที่คุณเห็นมันเล็กมาก แต่เรากิน นอนกันอยู่ตรงนั้น บ้านโต บ้านหรูหราเราไม่เอา เราอยากอยู่ตรงนี้ และเราเชื่อกระบวนการได้มาของเอกสารสิทธิ์มันซับซ้อน เราอยากให้รอกรรมการสิทธิมนุษยชนตรวจสอบให้ชัดก่อน” ฉัตรพร อธิบาย

แมะบน หาญทะเล ในวัยกว่า 80 ปี มารดาของนางละม้าย หาญทะเล เล่าด้วยความเศร้าว่า ลาโบ๊ะ ผู้เป็นสามีเคยพาตนและครอบครัวล่องเรือไปหลายที่แห่งอันดามัน การใช้ชีวิตส่วนมากเป็นการล่องเรือกับหาปลา และปลูกมะพร้าว มะม่วงบ้างยามจำเป็น แต่ต่อมาก็มีคนแปลกหน้าเข้ามาบนเกาะมากขึ้น ตนไม่เคยรู้ว่าเขาเป็นใคร ที่เห็นคือ ช่วงต้นปีนี้เขามาบอกว่าเขาจะรื้อบ้านเพราะเรากับลูกบุกรุกที่ดินเขา

“โต๊ะลาโบ๊ะ ใจดีมากนะเมื่อก่อนคนนอกเข้ามา ไม่มีที่พักเขาก็หาที่นอนให้พัก บ้านเล็กๆ ของเราต้อนรับทุกคน เราไม่เคยเก็บเงินด้วย พอถึงช่วงเทศกาลลอยเรือ บางครั้งฉันกับผัวก็ไปที่ลันตา ที่ภูเก็ต ลาโปบ๊ะเขาล่องเรือ ฉันนั่งเฉยๆ เรามีเรือเชียง (เรือพายด้วยมือ2ข้าง) พายเรือไปด้วยกัน แวะดำน้ำหาปลา หาปลิง บ้างเมื่ออาหารหมด ตอนนี้อีกมีแต่คนมาบอกว่าจะรื้อ ฉันเก็บของไม่ทันเลย ทำไมตอนนี้อยู่ไม่สนุกเหมือนเมื่อก่อนไม่รู้ ฉันไปไหนไม่ได้ เห็นลูกสาวบอก ” ผู้เฒ่าอูรักลาโว้ยเล่าถึงอดีตอันสวยงาม

บ้านสังกะสีหลังเล็ก ที่มีภาพเขียนผู้เฒ่าชาวเล เขียนโดยศิลปินอิสระรายหนึ่ง เป็นสัญลักษณ์ที่พอจะสื่อสารให้คนภายนอกรับรู้ว่าชาวเลมีตัวตน ซึ่งคุณยายแมะบน เข้ารู้สึกดีกับการเขียนภาพบนฝาบ้าน และรู้สึกอบอุ่นที่อาศัยอยู่ในบ้านหลังเล็ก แต่คุณยายอดห่วงลูกหลานไม่ได้ว่าจะใช้ชีวิตอย่างไร ถ้าบ้านถูกรื้อ ถูกยึด

“อีชาวเลบ้านเรา อย่าว่าแต่ไปเกาะลันตายากเลย ไปหน้าหาดยังต้องเดินอ้อม ฉันเดินไม่ไหว ตอนฉันแต่งงานกับลาโบ๊ะ เราตื่นมาเจอทะเลแล้ว ตอนนี้เดินไปอีกไกลนะ ถ้าฉันยังอยู่ทีนี่ ที่อูเส็นนี้ ฉันไปทะเลได้ ไปปาไต (หาด)ได้สบายเลย ไปดูหลานว่ามันได้หมึก ได้ปลาไหม” แมะบน ย้ำถึงความสงบสุขบนชุมชนปาไตอูเส็น

มาถึงปัจจุบันนี้ครอบครัวหาญทะเล พยายามทุกวิถีทางเพื่อรักษาแผ่นดินเกิดไว้ และอยากให้ทางการไทยมีการตรวจสอบกระบวนการครอบครองที่ดินอย่างเป็นธรรม โดยเพื่อคืนสิทธิแก่ชาวเลอูรักลาโว้ย ซึ่งกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ระบุชัดเจนแล้วว่า ที่ดินเกาะหลีเป๊ะมีเอกสารรูปลอย และมีการครอบครองที่ดินที่ไม่ปกติ เพราะการแจ้งสิทธิ์ใน นส.3 นั้นมีเอกสารเกินจำนวนที่ดินที่ปรากฏในการครอบครองแบบ สค.1 ซึ่งตัวแทนดีเอสไอ จะลงพื้นที่ตรวจสอบเร็วๆนี้

ความหวังของตระกูลหาญทะเล และชาวเลรายอื่น จึงขึ้นอยู่กับกระบวนการตรวจสอบที่เป็นธรรม ซึ่งหากที่หากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถสางปมปัญหานี้ได้ ชาวเลเกาะหลีเป๊ะจะได้คุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น หลังจากผ่านช่วงเวลาอันโหดร้ายมานานหลายปี และตกเป็นเครื่องมือของนายทุนหลายราย ที่พยายามครอบครองกรรมสิทธ์โดยกระบวนการที่ไม่โปร่งใส อย่างน้อยหากศาลาหลังเล็กๆ และบ้านของคุณยายแมะบน ไม่ถูกรื้อ หัตติเริงและญาติก็จะได้มีส่วนร่วมในการบริการนักท่องเที่ยวเพื่อดำรงชีพต่อไป และพวกเขาก็จะได้เป็นตัวอย่างของชาวเลที่ยังคงได้รับสิทธิของชาติพันธุ์อูรักลาโว้ย ผู้บุกเบิกเกาะอย่างแท้จริง ไว้เป็นกำลังใจให้ชาวเลรายอื่นที่ถูกทุนรุกราน จนวัฒนธรรม พื้นที่ทำกิน ถิ่นที่อยู่อาศัยและพื้นที่ทางจิตวิญญาณถูกกลืนกินโดยทุนใหญ่

โดย จารยา บุญมาก
…………….

On Key

Related Posts

เร่งแก้ไขน้ำประปาปนเปื้อน 18 หมู่บ้าน นายก อบจ.เชียงรายเผยระบบไม่ได้มาตรฐาน-เตรียมปรับปรุงเพิ่ม-คพ.ส่งทีมตรวจลงพื้นที่ตรวจสอบทั้งหมด-เบื้องต้น 3 หมู่บ้านไม่พบสารโลหะหนัก-สำรวจหาแหล่งน้ำสะอาดแห่งใหม่