
ลุงทองอินทร์ มาตราช อายุ 62 ปี ผู้นำครอบครัวมาตราช เป็นชาวบ้านบ้านหนองลาด ต. หนองลาด อ. วาริชภูมิ จ. สกลนคร เติบโตในครอบครัวชาวนา และเมื่ออายุ 25 ปี ก็ได้สมัครเป็นทหารพรานค่ายน้ำพุง เป็นทหารพรานนาน 9 ปี ต่อมาในปี 2535 ก็ได้ตัดสินใจนำครอบครัวเดินทางลงไปรับจ้างกรีดยางพาราที่ กม.41 จังหวัดสุราษฎร์ธานี
ลุงทองอินทร์เล่าว่าตอนไปกรีดยาง ก็ไปด้วยกันหมด ตอนแรกพาลูกสาวคนโตไปด้วย อีก 2 ปี ต่อมาจึงพาลูกอีกสองคนไปช่วยทำงานกรีดยางด้วย
ครอบครัวลุงทองอินทร์รับจ้างกรีดยางที่สุราษฎรธานีนานถึง 16 ปี โดยอาศัยอยู่กับนายจ้างเจ้าของสวนยางพารา ทรัพย์สินที่มีก็คือมอเตอร์ไซค์ 1 คัน เพราะลุงทองอินทร์ตั้งใจเก็บเงินไว้ซื้อที่ดินและคืนกลับถิ่นอีสาน ขณะที่ใช้ชีวิตที่ใต้เป็นเวลานาน ลูกชายคือนายเก่ง มาตราช ซึ่งได้อพยพไปรับจ้างกรีดยางที่ภาคใต้ด้วยกันจนเติบโตเป็นหนุ่ม และได้แต่งงานกับนางสาวเกศริน ยวนแดง สาวสุราษฎร์ธานี
ในปี 2544 ครอบครัวของลุงทองอินทร์ได้ซื้อที่ดิน 8 ไร่ จากชาวบ้านจัดระเบียบ และเริ่มสร้างสวนยางในที่ดินแปลงดังกล่าว โดยได้จ้างเพื่อนบ้านเป็นแรงงาน
ต่อมาใน ปี 2546 ลุงทองอินทร์ได้ซื้อที่ดินเพิ่ม อีก 8 ไร่ และในปี 2547 ได้ซื้อที่เพิ่มอีก 18 ไร่ ที่ดินที่ซื้อนั้น เจ้าของเดิมล้วนแล้วแต่ทำประโยชน์มาก่อนแล้ว ส่วนใหญ่มีการปลูกมันสำปะหลังมาก่อน เงินที่ใช้ในการซื้อที่ดินนั้น ลุงทองอินทร์ได้รวบรวมเงินจากการรับจ้างกรีดยางทั้งของตนเอง ภรรยา และครอบครัวของลูกอีก 2 คน คือ นายเก่ง และนายวิทยา
ลุงทองอินทร์กล่าวว่าสาเหตุที่มาซื้อที่ดินที่นี่เพราะตอนเป็นทหารพรานประจำอยู่ที่ค่ายน้ำพุงทำให้มีเพื่อนที่นี่
ในการสร้างสวนยางของครอบครัวลุงทองอินทร์ นอกจากใช้เงินที่รับจ้างกรีดยางนาน 16 ปี ยังต้องกู้เงินนอกระบบจำนวน 60,000 บาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 5
ระหว่างที่รอยางกรีดได้ ครอบครัวลุงทองอินทร์ก็ไป ๆ มา ๆ ระหว่างที่นี่กับภาคใต้ โดยช่วงที่ไม่สามารถกรีดยางที่ใต้ได้ก็ขึ้นมาดูแลสวน และช่วงที่ภาคใต้กรีดยางได้ ก็เดินทางลงไปรับจ้างกรีดยางที่สุราษฎร์ธานี จนถึงปี 2551 ลุงทองอินทร์ก็กลับมาอยู่ที่บ้าน ก่อนที่จะไปรับจ้างกรีดยางที่ปากคาด จังหวัดหนองคาย ซึ่งปัจจุบันอยู่ในเขต จังหวัดบึงกาฬ เป็นเวลา 2 ปี
เมื่อยางพาราที่ปลูกไว้โตพอที่จะให้ผลผลิตจึงพาครอบครัวคืนถิ่น โดยในปี 2553 ได้กลับมากรีดยางของตนที่บ้านจัดระเบียบ เนื่องจากยางพาราราคาดี ลุงทองอินทร์จึงตัดสินใจผ่อนรถกระบะเพื่อใช้ในการเดินทางระหว่างหนองลาดกับจัดระเบียบ แต่ครอบครัวของลุงทองกลับต้องเผชิญกับชะตากรรมที่ไม่คาดคิดมาก่อน เพราะประมาณเดือนสิงหาคม ทางเจ้าหน้าที่ป่าไม้ประกาศให้ชาวบ้านที่มีที่ดินบริเวณนี้ไปยืนแปลงเพื่อดำเนินการออกสิทธิในที่ดิน
ครอบครัวของนายทองอินทร์ก็เช่นเดียวกับกับครอบครัวชาวอีสานที่การผลิตทางเศรษฐกิจจะเป็นของครัวเรือน ที่มีทั้งครอบครัวของลุงทองอินทร์ และครอบครัวของลูกๆ ซึ่งรวมทั้งนายเก่งและภรรยา เมื่อเจ้าหน้าที่ประกาศให้ไปยืนแปลง ลุงทองอินทร์ก็ได้แบ่งที่ดินออกเป็น 3 แปลง โดยเป็นของตนเองและกระจายสิทธิให้ลูกคือนายเก่ง และนายวิทยา ซึ่งขณะนั้นนายเก่งยังคงรับจ้างกรีดยางที่ภาคใต้ไม่สามารถมายืนแปลงได้
ต่อมาหลังจากไปยืนแปลง ครอบครัวนายทองอินทร์และชาวบ้านจัดระเบียบรวม 34 ราย กลับมีหมายเรียกเพื่อให้ไปพบที่สถานีตำรวจภูพาน พร้อมทั้งแจ้งข้อหาบุกรุกป่าสงวนป่าแห่งชาติดงกระเฌอ-ดงชมภูพาน นายเก่ง มาตรราชมาตามหมายเรียกและถูกดำเนินคดีพร้อมกับพ่อและน้องชาย
ในปี 2557 อัยการก็ได้สั่งฟ้องศาลชาวบ้านจัดระเบียบทั้ง 34 คน แต่ปรากฏว่าไม่มีรายชื่อเก่ง มาตราช อ้างว่าไม่มีสำนวน นายเก่งจึงเดินทางกลับไปรับจ้างกรีดยางที่สุราษฎร์ธานีตามเดิม
หลังจากถูกดำเนินคดี ลุงทองอินทร์ก็ต้องจำนองที่นา 2 ไร่ ซึ่งเป็นมรดกที่ อ. วาริชภูมิ โดยจำนองกับองค์การทหารผ่านศึก ได้เงินมา 60,000 และต่อมาที่ดินดังกล่าวก็ต้องถูกยึดไปแล้วเนื่องจากไม่มีเงินไปไถ่ นอกจากนั้น ยังต้องนำที่ดินที่สร้างบ้านที่วาริชภูมิ ประมาณ 1 งาน ไปจำนองกับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ (ธกส.) ได้เงินมา 210,000 บาทเพื่อนำเงินไปใช้หนี้และที่ดินก็หลุดจำนอง ทำให้ต้องมาเช่าบ้านอยู่ในบ้านจัดระเบียบ
ขณะที่ในด้านของนายเก่ง เมื่อไม่มีชื่อเป็นผู้ต้องหาเหมือนพ่อ พี่ชาย และเพื่อนบ้าน ก็เดินทางไปรับจ้างกรีดยางที่สุราษฎร์ธานีเช่นเดิม ต่อมาในปี 2558 นายเก่ง ก็เดินทางกลับอีสานพร้อมกับภรรยาและลูกเพื่อทำการรักษาภรรยาที่เป็นโรคเกี่ยวกับตา โดยรับจ้างกรีดยางที่บ้านจัดระเบียบเรื่อยมา จนกระทั่ง 10 โมงเช้าของวันที่ 7 เมษายน 2559 เขาถูกตำรวจนอกเครื่องแบบเข้าจับกุมในระหว่างการเดินทางกลับจากการขายขี้ยาง ตำรวจอ้างจับตามหมายศาล วันที่ 8 เมษายน
นายเก่งถูกส่งไปที่ศาลจังหวัดสกลนคร เพื่อทำการฝากขัง ขณะที่ญาติพี่น้องหาหลักทรัพย์เพื่อทำการประกันตัว ซึ่งมีวงเงินประกัน 100,000 บาท เมื่อญาติๆ ยื่นเอกสารประกันตัวต่อเจ้าหน้าที่ศาล กลับไม่สามารถใช้หลักทรัพย์แปลงนี้ได้เพราะเป็นที่ดินตาบอด

11 เมษายน ญาติๆ พยายามประกันตัวอีกครั้ง โดยใช้หลักทรัพย์แปลงเดิม เพราะไม่รู้จะหาหลักทรัพย์อื่นได้ที่ไหน หวังว่าจะได้รับความเห็นใจจากศาล แต่ศาลยืนยันคำตอบเดิมคือใช้ไม่ได้ ญาติจึงต้องกลับบ้านด้วยความผิดหวัง และกลับไปช่วยกันหาหลักทรัพย์ และในที่สุด วันที่ 12 เมษายน ญาติก็ได้ยื่นประกันตัวอีกครั้ง โดยต้องเสียดอกเบี้ย 7,000 บาทให้เจ้าของหลักทรัพย์ ซึ่งเงินนี้ได้รับการบริจาคจากผู้ใจบุญที่ต้องการช่วยเหลือชาวบ้าน
สำหรับครอบครัวมาตราชแล้ว การดำเนินการของเจ้าหน้าที่ป่าไม้ ได้ทำให้เกิดความไม่ยุติธรรมขึ้น เพราะพวกเขารู้สึกว่าเจ้าหน้าที่เลือกดำเนินการเฉพาะชาวบ้านที่ยากจนเพราะกว่าที่ครอบครัวจะมีที่ดินก็ต้องไปทำงานรับจ้างกรีดยางพร้อมกับลูกๆ นานถึง 16 ปี ด้วยหวังว่าที่ดินและสวนยางที่สร้างด้วยการเป็นแรงงานรับจ้างจะหล่อเลี้ยงตนเองยามชราและลูกๆ ที่กำลังจะขยายครอบครัว ขณะที่นายทุนที่บุกรุกป่าเพื่อทำสวนยางรายใหญ่กว่า 2,000 ไร่ ที่ไม่ห่างออกไป กลับไม่ดำเนินการอะไร ดังที่นายทองอินทร์ มาตราช หัวหน้าครอบครัวมาตราช และ 1 ในจำเลยคดีบุกรุกป่าบ้านจัดระเบียบกล่าวว่า
“ผมโกรธตรงที่ว่า มาตัดที่ 9 ไร่ 10 ไร่ แต่ของนายทุนเป็นพันไร่ ไม่เข้าไปใกล้ มาเสียใจตรงนี้แหละ”
——————
โดย ไชยณรงค์ เศรษฐเชื้อ
คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
12 เมษายน 2559
——————
หมายเหตุ : บทความนี้ ได้ข้อมูลจากการสัมภาษณ์ นายทองอินทร์ มาตราช เมื่อวันที่ 21 กันยายน 2558 ที่บ้านจัดระเบียบ อ.ภูพาน จ.สกลนคร โดยผู้เขียน และสัมภาษณ์นายวิทยา มาตราช เมื่อวันที่ 12 เมษายน 2559 ที่หน้าศาลจังหวัดสกลนครระหว่างการรอประกันตัวนายเก่ง มาตราช ผู้เป็นพี่ชาย สัมภาษณ์โดยนางสาวจันทร โพธิ์จันทร์



