Search

เย้ยเหยียดระบบอุปถัมภ์ “น้องเมย์”วัดใจความยุติธรรม เพื่อน้าชาย-พลทหารที่ถูกซ้อมเสียชีวิต

received_1158768030833147
หมายเหตุ-บทความชิ้นนี้เป็นการถอดคำสัมภาษณ์ของ น.ส.นริศราวัลถ์ แก้วนพรัตน์ หรือ น้องเมย์ หลานสาวพลทหารวิเชียร เผือกสม ที่เสียชีวิตจาการถูกซ้อม ที่ให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 29 กรกฏาคม 2559  เพื่อออกอากาศในรายการข่าว 3 มิติ ทางช่อง 3 และรายการ The Reporter ช่อง 3SD ช่อง 28 แต่ด้วยเวลาข่าวที่มีน้อยจึงไม่สามารถบอกเล่าเรื่องราวได้ครบถ้วน และจากการฟังคำสัมภาษณ์ของน้องเมย์ มีหลายเรื่องที่เป็นข้อคิดที่ดี
 
———–
 
 
-อยากให้เล่าที่มาในการขอความเป็นธรรมให้น้าชายด้วยการเล่าถึงประวัติของพลทหาร วิเชียร เผือกสม 

พลทหารวิเชียร เผือกสม จบ ม. 6 ก็ขอบวชเป็นพระ เรียนจบ ปริญญาตรี พุทธศาสตร์บัณฑิต มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย–ปริญญาโท คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ก็ขอลาสิกขา โดยไม่บอกใคร บอกว่าสึกมาแล้วจะไปทำงาน 6 เดือน บอกว่าทำงานเสร็จแล้วจะกลับมา แต่พอหายไป 9 วัน มีโทรศัพท์มาถามที่บ้านว่า พลทหารวิเชียรได้กลับมาที่บ้านไหม ทำให้รู้ว่าเขาไปเป็นพลทหารอยู่ที่ค่ายกรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ หรือ ค่ายปิเหล็ง จ.นราธิวาส อยู่ที่ค่ายนี้ และได้หลบหนีออกมา แต่ในวันเดียวกัน ครูฝึกก็โทรกลับมาบอกว่า พลทหารวิเชียรได้กลับมาแล้ว ในวันที่ 9 พ.ค.2554 ผ่านไปจนวันที่ 4 มิ.ย.2554 อยู่ ๆ มีเบอร์แปลกโทรหาคุณยาย ซึ่งเป็นแม่ของผู้ตาย บอกว่า พลทหารวิเชียรนอนอยู่ห้อง ICU โรงพยาบาลนราธิวาสราชนครินทร์ ให้ไปเยี่ยมโดยด่วน ยายจึงโทรมาปรึกษา หนูให้โทรหาทหารครูฝึกคนเดิม ครูฝึกบอกว่า พลทหารวิเชียรยังฝึกอยู่ในค่าย คนละคนรึเปล่า ยายจะขอสายคุย เขาบอกว่า ฝึกอยู่ ครูฝึกบอกว่าวิเชียรยังอยู่ที่ค่าย เมย์เคยเรียนรด.มาก็เชื่อใจ

แต่คนเป็นแม่ยังคาใจ จึงไปที่โรงพยาบาลนราธิวาสราชนครินทร์ ในวันที่ 5 มิ.ย.2554 จึงพบพลทหารวิเชียร นอนอยู่ในลักษณะบวมทั้งตัว ใส่ท่อออกซิเจน ยายก็ถามหมอว่า เกิดอะไรขึ้น หมอให้การว่า พลทหารวิเชียรบอกหมอว่า ถูกครูฝึกซ้อมมา ก่อนจะไม่ได้สติ เขาบอกว่า ถูกครูฝึกซ้อมมา ให้โทรหาแม่ให้หน่อย หมอบอกว่าให้นอนพักก่อน หลังจากแม่ไป 5 ชม.พลทหารวิเชียรก็เสียชีวิต

เรารู้ว่าครูฝึกซ้อมมา แต่ไม่รู้สาเหตุ จนมางานศพมาถึงวันแรกก็ปกติดี แต่ก็เกิดข้อสงสัยว่า จะขอให้คลุมธงชาติพระราชทานเพลิงศพ จึงเริ่มสงสัยเพราะเป็นการตายโดยถูกซ้อมจากครูฝึก เมย์จึงไปถามพ่อเพื่อนที่เป็นตำรวจ เขาบอกว่า ถ้าเป็นตำรวจหมายถึงตายในหน้าที่ ดำเนินคดีไม่ได้นะ แต่ของทหารป๊าไม่รู้ ซึ่งพอสอบถามในทางทหารสรุปว่าตายในหน้าที่ ดำเนินคดีไม่ได้ เราจึงเห็นถึงความไม่บริสุทธิ์ใจ ก็เลยไม่ให้คลุมธงชาติ คนที่นำศพมาคือ ร.ท.ที่ดำเนินคดีกับเรา

มีการเสนอขอพระราชทานเพลิงศพพร้อมเสนอเงิน 3 ล้านบาทแทน เราไม่ได้ต้องการตรงนั้น เราต้องการว่าใครเป็นคนทำน้าเรามากกว่า เราก็เลือกจะปฏิเสธ มีแต่เขาพยายามจะเสนอเป็นตัวเงิน ไม่เสนอว่าใครผิด จึงตัดสินใจ ส่งหนังสือไปยังผบ.ค่าย พล.ร.151 แต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น จึงทำหนังสือไปยัง ผบ.พล.ร.15,กองทัพบก, พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็น ผบ.ทบ.สมัยนั้น และไปขอคำแนะนำที่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ทั้งคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์และคณะนิติศาสตร์ รัฐสภา

-ทนายความ ทราบว่า การสอบสวนจากกองทัพภาคที่ 4 ออกมาหลังได้รับความช่วยเหลือจากพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ :

ใช่ค่ะ เรากำหนดเผาวันที่ 16 มิ.ย.แต่ตอนนั้น 14 มิ.ย.แล้ว มีแต่การเสนอจ่ายเงินให้เรื่องจบ ไม่มีแม้แต่จะพูดถึงการให้ความเป็นธรรม หรือหาตัวผู้กระทำผิด แต่ไม่มีใครให้ความยุติธรรมน้าเราเลย จนเมย์โทรไปหารุ่นพี่ รร.มหาวชิราวุธ แนะนำให้ไปพบป๋าเปรม พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ไปขอความเมตตาจากท่าน

“ตอนแรกท่านบอกให้ยอมความเถอะ ยังไงก็แพ้ ไม่มีวันชนะ แต่พอท่านได้เห็นภาพถ่ายศพ และข้อเท็จจริง ท่านก็รับไม่ได้ ท่านบอกมันทำเกินไป ท่านบอก งั้นท่านจะช่วย” พล.อ.เปรม บอกกับน้องเมย์

หลังจากนั้น 1 เดือนการสอบสวนก็ออกมา ท่านแม่ทัพภาค 4 ที่อยู่กับป๋าเปรมตอนนั้นก็ไม่ทราบเรื่องจริง ๆ แสดงว่าหนังสือที่เรายื่นแต่ละที่ถูกตัดตอนหมดเลย จะมีคนข้างในที่ตัดตอนหนังสือ กลายเป็นว่า ความยุตธรรมที่ไปถึงผู้มีอำนาจรัฐจะมีคนคอยกั้นอยู่ จึงทำให้ประชาชนที่เดือดร้อนไม่ได้รับความเป็นธรรม

“ถ้าเราไม่ได้รับความเมตตาจากผู้ใหญ่ เราจะได้รับความเป็นธรรมไหม มันก็ไม่ได้ ทุกวันนี้ไม่ได้มาถึงขนาดนี้.”

จากนั้นการสอบสวนของกองทัพภาคที่ 4 ออกมาว่า ใครทำอะไร ทำให้พนักงานสอบสวนทำงานได้เต็มที่ เขาก็ทำงานยากมาก หนูก็ทำหนังสือถึง ผบ.ตร.ขอให้ส่งตำรวจส่วนกลางมาทำคดี มาร่วมกับสภ.เจาะไอร้อง แต่เมื่อมีผลสอบจากกองทัพบก พนักงานสอบสวนก็ทำงานง่ายขึ้น อัยการมณฑลทหารบกที่ 42 ก็ส่งคำร้อง แต่คดีนี้ตามกฎหมายเกี่ยวกับการกระทำผิดของเจ้าหน้าที่ต้องส่งให้ ปปช. แยก 2 สำนวน คือ ฆ่าคนตายโดยไม่เจตนา ม.290 ม.157 ที่เอาผิด ร.ต.กับพวก 9 คน สำนวนที่ 2.กรณีร.ท. ผิด ม.157 เมื่อเรื่องไปถึง ปปช.เขาให้คำตอบว่าอำนาจใหม่ ถ้ายศต่ำกว่าพ.อ.ต้องไป ปปท.จึงทำหนังสือให้ ปปช. ส่งเรื่องไปยัง ปปท.โดยการด่วน ปปท.ใหญ่ส่งเรื่องให้ ปปท.เขต 9 ก็ต้องไต่ส่วนพยานใหม่หมด จึงใช้เวลาใน ปปท. 3-4 ปี

จากนั้นมติจาก ปปท. เมื่อ ก.ค.2558 มีมติว่าร.ท.กับพวก 10 คนผิด มาตรา 157,83 และ ม.30 กฎหมายอาญาทางทหาร และอีก 9 นายผิด ม.290 ฆ่าคนตายโดยไม่เจตนา จึงส่งให้อัยการจ.นราธิวาส แต่อัยการส่งกลับให้ ปปท.เพราะไม่เข้าเกณฑ์ ให้ปปท.ส่งอัยการทหารแทน หนูก็ทำหนังสือกินเวลาไปอีก เพราะมีการโอนเรื่องจากมณฑลทหารบก 42 ให้มณฑลทหารบกที่ 46 จ.ปัตตานี อัยการให้ ปปท.ชี้มูลใหม่ให้เพิ่ม 290 กับ ร.ท.ไปด้วย แม้ช้า แต่ได้ผลว่าทั้ง 10 นาย จะถูกทั้ง 157, 83, 30 และ 290 เรายอมล่าช้า แต่ก็อยากให้ครอบคลุม เราอยากได้เป็นลายลักษณ์อักษรเพื่อได้ยืนยัน 100 % ว่า 5 ปีที่เรารอมาทั้งหมด จะรออีกครั้งในชั้นศาลทหาร แม้จะแค่ 50%  แต่ทุกอย่างจะตอบมาว่า ศาลทหารพิพากษาว่าผิดตามนี้ ถึงจะเรียกกว่าได้รับความยุติธรรม 100 เปอร์เซ็นต์เต็ม เราจึงรอให้ถึงเวลานั้น

เหตุผลถามว่าทำไมต้องการให้พักราชการ ร.ท. เหตุผลคือการพักราชการ รัฐไม่จำเป็นต้องจ่ายเงินเดือน ตราบใดผู้ต้องหากระทำผิด รัฐไม่ต้องจ่ายเงินเดือน เพราะมีความผิดอาญาร้ายแรง ยศของคุณยังขึ้นอีก มาใช้เงินภาษีของประชาชน หนูไม่เห็นด้วยเลย เหมือนสนับสนุนคนชั่วไปโดยอัตโนมัติ

-ข้อเท็จจริงในคดีนี้เป็นอย่างไร 

“มีการถอดเสื้อผ้า วิดพื้น ให้แก้ผ้า นอนบนก้อนน้ำแข็ง กินข้าวกับพริก ให้แก้ผ้านอนกับพื้น ใช้รองเท้าจังเกิ้ลกระทืบ จับขาลากกับพื้นคอนกรีต ใช้ไม้ไผ่ตี  พลทหารวิเชียรกราบเท้าขอร้องก็ไม่ยอม พลหทารวิเชียรยังไม่เสียชีวิต ก็เอาผ้าขาวมัดตราสังข์ เอาดอกบัวให้ถือเหมือนแห่ศพ พลทหารวิเชียรร้องขอให้ส่งโรงพยาบาลก็ยังไม่พาไป ถึงขั้นสั่งเสียเพื่อนว่า ถ้าเสียชีวิตให้บอกแม่ด้วย คือเหมือนตั้งใจจะฆ่าให้ตาย ทั้งที่ร้องขอชีวิต

“จากสภาพศพ เหมือนมีรูไม้แทงที่ขา ข้างละรู อวัยวะเพศบวม เท่ามะพร้าวเผา ตามตัวมีสภาพแผล เอาสก็อตเทปมาปิดแผล เป็นสภาพที่เพิ่งเสียชีวิต ไม่กี่ชั่วโมง คน ๆ หนึ่งต้องโดนคนกระทำ มันคงเจ็บปวดมาก ถ้าโดนยิงตาย คงเจ็บปวดน้อยกว่า แต่ชีวิต การตายของเขา มีคุณค่ามาก ช่วยให้พลทหารรายอื่นไม่ต้องถูกกระทำแบบนี้ การตายของเขาจะไม่ตายอย่างไร้คุณค่า”

ตอนแรกที่บ้านก็อยากรับเงินนะคะ ไม่อยากมีเรื่อง เพราะเราเป็นชาวนาเราไม่รู้จะสู้อะไรกับเขาได้ หนูก็ถามว่า จะให้น้าตายอย่างไร้ค่าเหรอ จะใช้เงินนั้นลงเหรอ กับการที่เราเรียกร้องไม่ให้น้าตายอย่างไร้คุณค่าล่ะ จะดีกว่าไหม ที่บ้านจึงยอม ยอมจ่ายเงินเพิ่มก็ยอม ตอนส่งน้าเรียนหนังสือ ยาย 3 คน ช่วยกันส่งน้าเรียนหนังสือ เอาที่นาไปจำนอง ติดหนี้อยู่ 1.5 ล้านบาท หวังว่าเรียนจบมาแล้ว น้าจะมาช่วยครอบครัวได้ พอน้ามาตายไป ก็ต้องต่อสู้ ที่นาหลุดจำนองไม่เป็นไร แต่ขอความเป็นธรรมให้หลานตัวเอง

“เราจะพิสูจน์ให้เห็นว่า ลูกชาวนาก็มีศักดิ์ศรี  ต้องการความยุติธรรม ไม่สนเงิน เราต้องการความถูกต้อง ไม่ใช่เอาเงินมาฟาดหัว คุณมียศ ซื้อได้ทุกอย่าง มันไม่ใช่ เราแค่อยากได้ความถูกต้องแค่นั้นเอง” 
 

-คุณต่อสู้เรื่องนี้ตั้งแต่น้าชายเสียชีวิตในปี 2554 ขณะนั้นน้องเมย์อายุ 20 ปีเรียนอยู่ชั้นปีที่ 2 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ใช่มั้ย

“ตอนต่อสู้เรื่องนี้เพิ่งบรรลุนิติภาวะ อายุแค่ 20 ปี เคยคิดว่า ทำไมชีวิตเราต้องมาเจอเรื่องยาก ๆ แบบนี้ด้วย ตอนปี 2 ต้องนั่งรถทัวร์ไปกลับกรุงเทพ-สงขลา 12 ชั่วโมง เพราะเราต้องเดินเรื่องยื่นหนังสือไปหน่วยงานต่าง ๆ มีอยู่ครั้งหนึ่ง นั่งเรียนอยู่ในห้อง พอเพื่อนออกจากห้องเรียน เหลือเราคนเดียว อาจารย์ถาม เราก็ร้องไห้ออกมา ทั้ง ๆ ที่เป็นคนไม่ชอบร้องไห้ให้ใครเห็น จะกลับไปร้องไห้คนเดียวในห้อง แต่วันนั้นไม่ไหว เลยบอกอาจารย์ว่า จะดรอปเรียนได้ไหม แต่อาจารย์ก็บอกว่าให้ต่อสู้ต่อไป”

ระหว่าง 3 ปีที่ต่อสู้คดีทางแพ่ง ตั้งแต่ปี 2555-2557 ที่ศาลมีคำพิพากษาให้กองทัพบกชดใช้ค่าเสียหายกว่า 7 ล้านบาท แต่ระหว่างนั้นครอบครัวลำบากมาก เราก็มีค่าใช้จ่ายมาก แม่ก็ต่อสู้ เราเสียพ่อไปตั้งแต่เรียน ม.3 แม่ต้องเลี้ยงลูกคนเดียว 3 คน แม่บอกเลี้ยงลูกได้ แม่ให้เราเดินเรื่องให้น้าชาย แม่ต้องกู้เงินนอกระบบร้อยละ 5 เราสู้ได้ก็เพราะแม่

“แต่บางครั้งเรากำลังต่อสู้กับอำนาจที่ยิ่งใหญ่มาก เหมือนไม้ซีกงัดไม้ซุง แต่ของเรายิ่งใหญ่มาก ไม้ซีกงัดไม้แบบ….”

เคยคิดว่าอยากหลับไปโดยไม่ต้องตื่นมาได้ไหม แบบเดินออกไปนอกถนน แต่ก็ดึงสติกลับมา เพราะถ้าทำแบบนั้นไม่ต่างอะไรกับคนที่แพ้ ถ้าตายแล้วตายอย่างไร้คุณค่าจะตายทำไม ถ้าตัวจะตายอย่างนั้นแล้ว สู้เอาผิดคนกระทำดีกว่าไหม ตอนนี้จึงไม่มีคำว่าคิดลบ หรือยอมแพ้ มีแต่คำว่า สู้ ไม่ถอย เดินหน้าชน ส่วนตัวมีนิสัย ยอมหักไม่ยอมงอ เดินสายตรง ยึดความดี ความถูกต้อง ถ้าให้หนูเป็นเครื่องมือใคร หนูไม่ต้องการสิ่งนั้น

“เรื่องนี้เป็นปัญหาทหารส่วนบุคคล ไม่เกี่ยวกับกองทัพ ตัวบุคคลสวมหัวโขนกองทัพ ถ้ากองทัพจะเลือกช่วยคนผิด ไม่รักสถาบัน เหมือนที่หนูเคยพูดว่า ไม่มีใครทำลายกองทัพได้ เท่ากับคนในกองทัพ”


-คำตอบสุดท้ายเรื่องนี้ต้องการอะไร 

“หนูอยากพิสูจน์ว่า ความยุติธรรมมีจริง คนที่คิดว่าไม่มีทางเกิดขึ้น ขอให้เลิกคิดว่าอำนาจหรือระบบอุปถัมภ์จะช่วยคุณได้ ถ้าคุณคิดอย่างนั้น คุณคิดผิด ความถูกต้องเท่านั้นที่จะเป็นสิ่งที่อยู่เหนือทุกอย่าง คุณอาจคิดว่า อำนาจสำคัญที่สุด แต่จริง ๆ แล้ว ความถูกต้อง ความยุติธรรม ความดีเท่านั้น ที่อยู่เหนือสุด เงินตรา อำนาจ หัวโขนก็แค่ภาพมายา ความดี ความถูกต้อง ความยุติธรรม มันคือสิ่งอมตะ ที่อยู่อยู่เราไปตลอดกาล ตายไปแล้ว ชื่อ ความดี คุณค่ายังอยู่ตราบชั่วนิรันดร์”

—————-
บันทึกโดย : ฐปณีย์ เอียดศรีไชย

On Key

Related Posts

อนุทินประกาศสงครามกับอาชญากรข้ามชาติ-สแกมเมอร์-ลงพื้นที่แม่สอด เผยเร่งเนรเทศต่างชาติที่หลบหนีเข้าเมือง- ประสานประเทศต้นทางรับตัว-ชาวบ้านโวยเดือดร้อนหนักจากระเบิดตึกเคเคปาร์คสะเก็ดข้ามแดน-ยื่นหนังสือวอนนายกฯช่วยด่วน

ชาวท่าตอนมีมติเอกฉันท์ไม่เอาฝายดักตะกอน-กรมน้ำหางโผล่หลังถูกขวางแต่ยังเดินหน้าจัดเวทีรับฟังเปลี่ยนหัวข้ออ้างเรื่องคุณภาพน้ำแต่กลับขอมติเรื่องบ่อดักตะกอนโดยใช้คิวอาร์โค้ด-สุดท้ายชาวบ้านหักดิบใช้วิธียกมือ