ผู้สื่อข่าวรายงานถึงความคืบหน้าถึงกรณีที่ทหารพรานที่ 36 ค่ายเทพสิงห์ อำเภอแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอน ตรวจพบแพไม้ซุงสัก จำนวน 180 ท่อน ผูกติดข้างฝั่งแม่น้ำสาละวิน ในเขตสหภาพเมียนมา(เขตควบคุมของกองกำลังสหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง-เคเอ็นยู) ห่างจากบ้านแม่สามแลบ ตำบลแม่สามแลบ อำเภอสบเมย จังหวัดแม่ฮ่องสอน ไปทางทิศเหนือประมาณ 5 กิโลเมตร โดยแพดังกล่าวใช้ไม้ไผ่ที่ยังมีรอยตัดใหม่ ๆ สีเขียวสด ผูกเป็นแพ และใต้แพดังกล่าวมีไม้ซุงสัก ลักษณะเป็นไม้สักท่อนแห้ง ผูกรวมกันนับได้ประมาณ 180 ท่อน ส่วนข้างแพที่จะมองเห็นไม้ซุงสัก ได้ถูกอำพรางด้วยใบตองกล้วยลักษณะใหม่สด ปกปิดเอาไว้เพื่อป้องกันไม่ให้คนทั่วไปมองเห็นไม้ซุง
ล่าสุดเมื่อเย็นวันที่ 22 สิงหาคม 2559 แพซุงดังกล่าวได้หายไปจากจุดพบแพในบริเวณดังกล่าวแล้ว โดยไม่มีใครทราบว่าหายไปไหน แต่คาดว่าถูกชักล่องไปตามลำน้ำสาละวินเมื่อคืนวันที่ 21 สิงหาคม เข้าไปในเขตแดนพม่าแล้ว ขณะเดียวกันทางเคเอ็นยูได้ปฎิเสธว่าแพซุงทั้ง 180 ท่อนนั้น ทางเคเอ็นยูไม่ได้เป็นผู้จับกุมและไม่รู้ไม่เห็นแพลำดังกล่าว โดยทหารเคเอ็นยูส่วนหน้าที่รับผิดชอบพื้นที่ในบริเวณที่แพจอดอยู่ได้รายงานไปยังพลเอกบอจ่อแฮ รองผู้บัญชาการทหารสูงสุดของเคเอ็นยูว่า จากการตรวจสอบไม่พบแพซุงดังในภาพที่เป็นข่าว
ข่าวแจ้งด้วยว่า ในส่วนของทหารไทยเองก็ได้มีการรายงานไปยังผู้บังคับบัญชาระดับสูงในลักษณะเดียวกันว่า ข่าวการพบแพซุงที่เกิดขึ้นมีความคลาดเคลื่อนด้านการนำเสนอข่าว เพราะไม่มีไม้สักที่ถูกตัดในเขตไทยแต่ประการใด อย่างไรก็ตามมีคำยืนยันจากชาวบ้านที่นั่งเรือระหว่างบ้านสบเมยและแม่สามแลบว่า เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2559 ยังพบแพไม้สักดังกล่าวอยู่ในแม่น้ำสาละวินบริเวณที่อยู่ห่างจากบ้านแม่สามแลบราว 5 กิโลเมตร โดยชาวบ้านและทหารไทยที่นั่งเรือผ่านได้แวะเข้าไปถ่ายภาพไว้ และคิดว่าเป็นแพซุงที่ทหารเคเอ็นยูจับกุมได้ ดังนั้นเมื่อทหารเคเอ็นยูออกมาปฎิเสธ ทำให้หลายฝ่ายรู้สึกมึนงงว่าเกิดอะไรขึ้น และเชื่อว่าเรื่องนี้น่าจะมีเบื้องหน้าเบื้องหลังอันซับซ้อนมาก ที่สำคัญคือหากแพซุงนี้ยังอยู่จะเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญที่สามารถพิสูจน์ได้ว่า ไม้สักที่ถูกตัดในครั้งนี้เป็นไม้จากที่ใด ดังนั้นจึงมีความพยายามจากคนบางกลุ่มที่ต้องการให้นำแพลำดังกล่าวออกไป
—————-