บ้านบางกลอย
ชุมชนเก่าแก่ในป่าแก่งกระจาน
แม้เสียงคำบอกเล่าสู่สังคมของปู่คออี้และชาวบ้านบางกลอยยืนยันว่า “พวกเราอยู่ที่นี่มานาน” จะเบากว่าเสียงป่าวประกาศของคนทางการที่พยายามตะโกนว่า “พวกเขาเป็นชนกลุ่มน้อยที่ย้ายมาอยู่ใหม่และเป็นพวกตัดไม้ทำลายป่าต้นน้ำเพชร”
แต่ความจริงย่อมหนีความจริงไปไม่พ้น
มีเอกสารหลักฐานทั้งพยานบุคคลและงานเขียนหลายชิ้นที่ระบุถึงหมู่บ้านบางกลอยและบ้านใจแผ่นดินว่าเป็นชุมชนเก่าแก่ที่อยู่ร่วมกันมานานนับร้อย ๆ ปี
นายนิรันดร์ พงษ์เทพ ชาวบ้านบางกลอยและเคยดำรงตำแหน่งเป็นผู้ใหญ่บ้าน (คนที่ 2) ของหมู่บ้านบางกลอยซึ่งตั้งอยู่กลางป่าใหญ่แก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี ระหว่างปี 2534-2546 เขายืนยันว่าหมู่บ้านแห่งนี้ได้รับการจดทะเบียนจากกรมการปกครองให้เป็นหมู่บ้านมาตั้งแต่ปี 2514 (อุทยานแก่งกระจานก่อตั้งเมื่อปี 2524)
“ผู้ใหญ่บ้านคนแรกชื่อผู้ใหญ่ยง เจริญสุข ตอนนั้นมีลูกบ้านอยู่ประมาณ 300 คน ตอนแรกหมู่บ้านบางกลอยตั้งอยู่ในเขตตำบลสองพี่น้อง อำเภอท่ายาง จังหวัดเพชรบุรี แต่เมื่อแก่งกระจานได้ยกระดับเป็นอำเภอ หมู่บ้านบางกลอยได้เปลี่ยนมาอยู่ที่ตำบลห้วยแม่เพรียง อำเภอแก่งกระจาน” อดีตผู้ใหญ่ซึ่งอยู่ในตำแหน่งอยู่ราว 13 ปี (ดูเอกสารราชการประกอบหน้า 5) ก่อนที่จะได้รับตำแหน่งประธานสภาองค์การบริหารส่วนตำบลห้วยแม่เพรียงจนถึงปัจจุบัน ยืนยันถึงการดำรงอยู่ของหมู่บ้านบางกลอยในป่าใหญ่
“สมัยก่อนเมื่อเรียกประชุมชาวบ้าน เราใช้บ้านของลุงคนหนึ่ง เพราะไม่มีศาลาหรือสิ่งปลูกสร้างของส่วนรวม บ้านแต่ละหลัง ก็อยู่ห่างกันไปตามไร่ตามสวนของแต่ละคน ไม่ใช่เป็นชุมชนที่มีบ้านติดกัน เพราะฉะนั้นจึงไม่แปลก หากภาพถ่ายทางอากาศจะไม่พบ”
นายนิรันดร์เกิดและเติบโตในป่าใหญ่ของชุมชนกะเหรี่ยงบางกลอยและใจแผ่นดิน เช่นเดียวกับพ่อแม่และบรรพบุรุษของเขาที่ดำรงชีพในป่าใหญ่สืบต่อกันมา
คำบอกเล่าของนายนิรันดร์สอดคล้องกับการสำรวจของกรมประชาสงเคราะห์ที่ระบุถึงชุมชนชาวกะเหรี่ยงแห่งบ้านบางกลอย
นายวสันต์ ณ ถลาง อดีตผู้อำนวยการศูนย์พัฒนาและสงเคราะห์ชาวเขา กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กล่าวว่า เคยเดินทางไปถึงบางกลอยบน 2 ครั้ง คือ ครั้งแรกปี 2528 และครั้งที่ 2 ปี 2531 มีลูกหาบรับจ้างไปด้วย โดยเดินผ่านไร่ของกะเหรี่ยง พบแม่น้ำที่ใสสะอาดและมีการตกปลาโดยวิธีธรรมชาติใช้ลูกไม้ในป่าเกี่ยวกับเบ็ดแล้วก็หาหนอนในป่ามาล่อเหยื่อ หาปลามาทำอาหารเลี้ยงคนนอกอย่างทีมงาน เป็นวิถีชีวิตที่เรียบง่ายมาก น่านับถือในภูมิปัญญา
“เราฝ่าไปจนถึงบางกลอยบน มีทีมหนึ่งหมดแรงขอนั่งแพ กะเหรี่ยงก็บริการ ส่วนพวกผมเดินทางบกต่อ ถึงเวลาข้ามน้ำตลอดทาง เราพบว่าที่บ้านบางกลอยและใจแผ่นดินมีอยู่ราว ๆ 40 หลัง หรือประมาณ 100 คน แต่อยู่กันอย่างกระจัดกระจายแถวริมน้ำ ชาวบ้านส่วนใหญ่ปลูกบ้านไม่แข็งแรงเหมือนกะเหรี่ยงภาคเหนือ อาจเป็นเพราะที่นี่ต้องย้ายกันบ่อย” (ที่มา : สำนักข่าวชายขอบ : https://transbordernews.in.th/home/?p=14310 )
ในปี 2539 กรมป่าไม้(เดิม) อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน หน่วยเฉพาะกิจ กรมทหารราบที่ 29 และจังหวัดเพชรบุรี ได้อพยพชาวบ้านบางกลอยที่อาศัยอยู่กระจัดกระจายตามแนวชายแดนไทย-พม่ามาอาศัยอยู่รวมกันในพื้นที่ตรงข้ามบ้านโป่งลึก (หรือเรียกบ้านบางกลอยล่าง) รวมทั้งหมด 57 ครอบครัว จำนวน 391 คน
ปี 2553 อุทยานฯได้ลาดตระเวน และมีการผลักดันชาวบ้าน 2 ครั้ง และได้มีการทำรายงานเสนอไปยังผู้บริหารกรมอุทยานฯว่า มีชนกลุ่มน้อยเข้าทำบุกรุกทำลายพื้นที่ป่า เพื่อปลูกพืชไร่และอาศัยที่ทำกินอย่างต่อเนื่อง สาเหตุเนื่องจากชนกลุ่มน้อยเห็นว่าทางเจ้าหน้าที่ไม่เข้มงวดในการดำเนินการ ไม่ได้ใช้มาตรการเด็ดขาด จึงอพยพเข้ามาอยู่กันเพิ่มขึ้น จนเมื่อมีการบินตรวจสอบสภาพป่าและการเดินลาดตระเวนเดือนเมษายน 2554 พบว่า บริเวณชายแดนไทย-พม่ามีชุมชนกลุ่มน้อยชาวกะหร่างอพยพเข้ามาหลบซ่อน ปลูกพืขไร่ในพื้นที่ป่ามากกว่าเดิม
ระหว่างวันที่ 5-9 พฤษภาคม 2554 ได้มีการอพยพ/ผลักดัน โดยผลปฏิบัติงาน 1.ตรวจยึด/จับกุมดำเนินคดีได้ 1 คดี จับกุมชาย 1 คนชื่อนายหน่อเอะ มีมิ 2.เผาทำลายเพิงพัก สิ่งปลูกสร้างทั้งสิ้น 98 หลัง 3.ถอนทำลายกัญชาที่ปลูกแซมในพื้นที่ประมาณ 1 ไร่ 4.พบว่าการบุกรุกพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นการทำไร่เลื่อนลอยเพื่อเข้ามาปลูกข้าว พริก คาดว่าน่าจะเป็นบริเวณสะสมเสบียงสนับสนุนอาหารของกองกำลังชนกลุ่มน้อยติดอาวุธ 5.ลักษณะที่อยู่อาศัยเป็นเพิงพัก ลักษณะบ้านกะหร่างปลูกบนเชิงเขาสูงเฉลี่ย 600-800 เมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลาง 6.พื้นที่บุกรุกที่ตรวจพบและเข้าดำเนินการทั้งสิ้น 24 กลุ่ม/จุด
7.รายการอาวุธของกลางที่พบและตรวจยึดได้ประกอบด้วย เคียว 8 อัน ขวาน 10 เล่ม มีด 25 เล่ม ตะไบ 5 ตัว เสียม 7 เล่ม ปืนแก๊ป 2 กระบอก แร้วดังสัตว์ 3 อัน คราด 1 อัน ซากหัวเก้ง 2 หัว ซากหมูป่า 1 หัว ซากเต่าหก 1 ซาก เงินไทย 9,400 บาท กระสุนปืนคาร์บิน 3 นัด สร้างลูกปัด และกำไลข้อมือ
————-
ปฏิบัติการใหญ่ยุทธการตะนาวศรีเป็นไปอย่างคึกโครม โดยนอกจากกองกำลังของอุทยานฯแล้ว ยังมีทหาร ตำรวจและสื่อมวลชนร่วมเดินทางลงพื้นที่ในครั้งนี้ด้วย
ขณะที่ปู่คออี้ถูกประคองตัวให้ขึ้นเฮลิคอปเตอร์จากหมู่บ้านบางกลอยถิ่นเกิดมาอยู่ที่บ้านบางกลอยใหม่ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน เช่นเดียวกับชาวบ้านบางกลอยทั้งหมดที่ถูกอพยพลงมาอยู่ในพื้นที่ที่อุทยานฯ จัดสรรไว้ให้
อย่างไรก็ตาม ปฏิบัติการที่ชื่อว่ายุทธการตะนาวศรี ทางการได้ประสบความสูญเสียอย่างใหญ่หลวง เมื่อเฮลิคอปเตอร์ที่ใช้ในการปฏิบัติงานตกลงถึง 3 ลำในเวลาใกล้เคียงกัน คือ เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม, 19 กรกฎาคม และ 24 กรกฎาคม 2554
ปัจจุบันชาวบ้านบางกลอยที่ถูกย้ายเข้ามาอยู่ในพื้นที่ที่อุทยานฯจัดเตรียมไว้ให้มีความเป็นอยู่ค่อนข้างยากลำบากเนื่องจากที่ดินทำกินไม่เพียงพอ แม้อุทยานฯเคยรับปากว่าจะจัดสรรที่ดินไว้ให้ครอบครัวละ 7 ไร่ แต่ในความเป็นจริงหลายครอบครัวกลับได้ไม่ครบ ที่สำคัญคือที่ดินที่ได้รับการจัดสรรเหล่านี้ไม่สามารถปลูกข้าวหรือปลูกพืชให้ได้ผลผลิตเหมือนเมื่อครั้งที่ชาวบ้านอาศัยอยู่ในหมู่บ้านเดิม
ในขณะที่การปลูกข้าวซึ่งเป็นพืชศักดิ์สิทธิของชาวกะเหรี่ยงก็ไม่สามารถทำได้เพียงพอ เนื่องจากการทำนาขั้นบันไดที่ได้รับการสนับสนุนจากบางหน่วยงานไม่ได้ผล ในที่สุดชาวบ้านต้องออกมารับจ้างหางานทำตามเมือง และครอบครัวต่างแตกกระสานซ่านเซ็น (อ่านสกู๊ปเรื่อง บ้านแตกสาแหรกขาด ฟังเสียง
อันขมขื่นในผืนป่าแก่งกระจาน)
วันที่ 17 เมษายน 2557 นายพอละจี รักจงเจริญ หรือ บิลลี่ หลานชายปู่คออี้ ซึ่งเป็นแกนนำในการเรียกร้องสิทธิของชาวบ้านบางกลอยได้ถูกอุ้มหายตัวไป
ก่อนหายตัวไปบิลลี่กำลังจัดทำข้อมูลต่าง ๆ ของชุมชนบางกลอย ทั้งแผนที่ทำมือจากความทรงจำของปู่คออี้ ประวัติแต่ละครอบครัว ตลอดจนการเขียนหนังสือถวายฎีกา ทำให้กำลังหลักและข้อมูลของชาวบ้านขาดตอน
อย่างไรก็ตามเมื่อปี 2554 น.ส.ดรุณี ไพศาลพาณิชย์กุล นักกฎหมาย สถาบันวิจัยและพัฒนาเพื่อเฝ้าระวังสภาวะไร้รัฐ และนักศึกษาปริญญาเอก คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้จัดทำบันทึกเรื่องราวของปู่คออี้ผ่านปากคำนายนอแอะ ลูกชายคนโตไว้ว่า
“พ่อเล่าให้ฟังว่าพ่อเกิดที่บ้านบางกลอยบน หรือคีลอในภาษากะเหรี่ยง และไม่เคยโยกย้ายไปอยู่ที่อื่น นอแอะ (หรือหน่อแอะ) และนอสะ (หรือหน่อสะ) น้องชาย ก็เกิดที่บางกลอยบนนี้ และอยู่ที่นี่มาจนถึงปัจจุบัน ที่บ้านนอแอะก็เหมือนกับกะเหรี่ยงคนอื่น ๆ ทุกครอบครัว ทำไร่ข้าวหมุนเวียน (เวียนประมาณ 2 ปี) ปลูกพริกและพืชผักอื่น ๆ แซมข้าวไร่ โดยไร่ห่างออกจากตัวบ้านไปประมาณหนึ่งชั่วโมงเดินเท้า”
จากการตรวจสอบกับเอกสารฉบับสำเนา-ทะเบียนสำรวจบัญชีบุคคลในบ้าน ที่จัดทำขึ้นโดยกรมประชาสงเคราะห์ ภายใต้โครงการสำรวจข้อมูลประชากรชาวเขา หรือโครงการสิงห์ภูเขา (เป็นการสำรวจชาวเขาตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 24 เมษายน 2527) เมื่อปี พ.ศ.2531 พบชื่อของปู่คออี้ ถูกเขียนว่า
นายโคอิ เป็นหัวหน้าครอบครัว เกิดเมื่อปี พ.ศ. 2454 ที่จังหวัด “เพชรบุรี” ประเทศ “ไทย” พ่อชื่อ “มิมิ” แม่ชื่อ “พินอดี” ทุกคนเป็นชาวเขาเผ่า
“กะเหรี่ยง” และนับถือ “ผี” ข้อมูลนี้อยู่ในแฟ้มทะเบียนสำรวจบัญชีบุคคลในบ้านบ้านบางกลอย 4 เป็นครอบครัวที่สามจาก 20 ครอบครัว เวลานั้นบางกลอย 4 ขึ้นกับพื้นที่กิ่งอำเภอแก่งกระจาน เหรียญชาวเขาของปู่คออี้เป็นสิ่งที่นอแอะเห็นตั้งแต่เด็ก จำได้คร่าว ๆ ว่ามันเป็นช่วงปี-สองปีหลังเขื่อนแก่งกระจานสร้างเสร็จใหม่ ๆ (สร้างเมื่อปี 2509) นายอำเภอท่ายางในสมัยนั้นเรียกชาวบ้านไปรับเหรียญ
ตรงกับคำบอกเล่าของผู้ใหญ่กระทง โชควิบูลย์ (นามสกุล เดิม-จีโบ้ง) และนายดุ๊อู จีโบ้ง ที่เล่าว่า นายอำเภอคนนั้นชื่อถวัลย์ แต่จำนามสกุลไม่ได้ เรียกให้ชาวบ้านไปรับมอบเหรียญจากทางอำเภอ“หลังจากนั้นประมาณช่วงปี 2526 นายอำเภอท่ายางได้เรียกให้ชาวบ้านมาทำบัตรประชาชนคนไทย เขาเป็นคนหนึ่งที่ไปทำบัตรประชาชน เวลานั้นเขาไม่เข้าใจว่าบัตรประชาชนคนไทยหมายถึงอะไร แต่ตอนนั้นเขาลงจากบางกลอยบนมาขายพริกที่อำเภอท่ายาง เมื่อเจ้าหน้าที่เรียกให้ไปทำบัตรก็ไป เขาจึงมีบัตรประชาชนไทย และต่อมาได้รับการกำหนดเลข 13 หลักขึ้นต้นด้วยเลข 3 แต่ก็มีคนอีกจำนวนไม่น้อยที่ไม่สนใจที่จะลงมาทำบัตรประชาชน” ผู้ใหญ่กระทงให้รายละเอียด
…เหตุผลนั้นไม่มีอะไรซับซ้อน เพราะหลายคนเห็นว่า “ไม่จำเป็น”
ตอนนอแอะอายุได้ 30 ปี พ่อก็ให้เหรียญชาวเขาแก่เขา จนถึงปัจจุบันนอแอะยังไม่แต่งงานและยังคงอาศัยอยู่กับปู่คออี้ โดยนอสะและนอโพริ-ภรรยาของนายนอสะ ซึ่งมีลูกด้วยกัน 9 คน ก็อาศัยอยู่ในบ้านหลังเดียวกันนี้
นอแอะบอกว่า หากจะนับเป็นการโยกย้ายบ้านในชีวิตของพ่อ รวมถึงตัวเขาและคนอื่น ๆ ในครอบครัว ก็น่าจะเป็นช่วงประมาณปี 2539 ที่เจ้าหน้าที่บอกให้กะเหรี่ยงที่อาศัยอยู่ที่บางกลอยบน อพยพลงมายังบ้านโป่งลึก-บางกลอยล่าง ครอบครัวของเขาจึงต้องจำใจโยกย้ายลงมา พร้อมกับชาวกะเหรี่ยง 57 ครอบครัว หรือ 391 คน แต่อยู่ไปได้ประมาณสามเดือน นอแอะบอกว่าพ่อทนอากาศร้อนไม่ไหว และคิดถึงเสียงของป่า จึงอพยพกลับไปอยู่ที่บ้านหลังเดิมที่บางกลอยบนและครั้งที่สองของการ(ถูกบังคับให้)อพยพโยกย้ายคือเมื่อต้นเดือนพฤษภาคม นอแอะถูกจับเมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2554 ถูกนำขึ้นเฮลิคอปเตอร์มาส่งที่สถานีตำรวจ และถูกส่งต่อไปยังเรือนจำในวันรุ่งขึ้น พ่อของเขาและหลานถูกนำขึ้นเฮลิคอปเตอร์ลงมาที่บ้านบางกลอย เกือบสองอาทิตย์ต่อมาพวกเขาจึงรับรู้ในเวลาใกล้เคียงกันว่า ทั้งบ้านและยุ้งฉางถูกเผาจนไม่เหลืออะไร
นายกระทง จีโบ้ง ผู้ใหญ่บ้านบางกลอย นายลอย จีโบ้ง ผู้ใหญ่บ้านโป่งลึก นายนิรันดร์ พงษ์เทพ ประธานองค์การบริหารส่วนตำบลห้วยแม่เพรียง อำเภอแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี ทุกคน เกิดที่บ้านบางกลอยบนและรู้จักปู่คออี้เป็นอย่างดีตั้งแต่เด็ก โดยเฉพาะผู้ใหญ่กระทง สมัยเด็ก ๆ เคยอาศัยอยู่ที่บ้านญาติ คือนายจอโจ่ ซึ่งตั้งบ้านอยู่ใกล้กับบ้านของปู่คออี้ (ห่างกันประมาณหนึ่งชั่วโมงเดินเท้า) ไม่เฉพาะสามคนนี้ คนอื่น ๆ ในชุมชนบางกลอยบนต่างก็รู้จักและจดจำปู่คออี้ได้ดี ด้วยร่างกายที่สูงใหญ่ เป็นพรานที่มีชื่อเสียงและเป็นคนที่ชุมชนให้การนับถือ
ในทางกลับกัน ด้วยวัยที่ยืนยาวมาถึง 103 ปี ต้องกล่าวว่าปู่คออี้ต่างหากที่รู้เห็นความเป็นไปของผืนป่าใจแผ่นดินบางกลอยเป็นอย่างดี ทั้งยังรู้เห็นการเกิดและการเติบโตของผู้ใหญ่กระทง ผู้ใหญ่ลอย รวมถึงประธานอบต.นิรันดร์ และอีกหลายชีวิตในผืนป่าใจแผ่นดิน-บางกลอยบน (อ่านรายละเอียดบันทึกชิ้นนี้ใน https://transbordernews.in.th/home/?p=14716 )
——————-
เมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2524 ก่อนที่จะมีการประกาศจัดตั้งอุทยานแห่งชาติแก่งกระจานในปีเดียวกัน อาจารย์ทองใบ แท่นมณี นักประวัติศาสตร์ท้องถิ่นและปราชญ์เมืองเพชรบุรี ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งศึกษานิเทศก์จังหวัดเพชรบุรี ได้เดินทางไปยังหมู่บ้านใจแผ่นดิน เนื่องจากได้รับมอบหมายจากกรมวิชาการให้เขียนประวัติจังหวัด ซึ่งอาจารย์ทองใบได้เขียนงานชื่อ “เพชรบุรีธานีเรา”
“ผมสนใจหมู่บ้านใจแผ่นดินตั้งแต่ยังเรียนหนังสือตอนอายุ 12-13 ปี เพราะได้ยินว่าเป็นหมู่บ้านคนไทย และเห็นชื่ออยู่ในแผนที่ แต่ถามใครก็ไม่ค่อยมีคนรู้จัก จนกระทั่งถามครูคนหนึ่ง
ที่บ้านอยู่หนองหญ้าปล้อง ท่านบอกว่าหมู่บ้านนี้ท่าจะร้างไปแล้ว เข้าใจว่าร้างตั้งแต่ปลายสมัยรัชกาลที่ 4 หรือต้นรัชกาลที่ 5 แต่ตอนหลังมีชาวกะหร่างไปอาศัยอยู่
“พอได้รับมอบหมายให้ทำหนังสือ ได้เขียนเรื่องใจแผ่นดินลงไปด้วย และเรื่องตาลป่า เขาอยากได้ภาพ ผมเลยเดินทางไปยังใจแผ่นดิน โดยล่องเรือเข้าไปจนถึงบ้านโป่งลึก แล้วต่อไปจนถึงบ้านบางกลอยและใจแผ่นดิน” อาจารย์ทองใบเล่าถึงการบุกป่าเข้าไปค้นหาบ้านใจแผ่นดิน ซึ่งคนกะเหรี่ยงเองก็แทบไม่
รู้จักเพราะไม่ได้เรียกชื่อนี้ แต่เรียกว่า “กะจือคู”
“เราไปถึงบ้านบางกลอย แต่ไม่ได้ค้างคืนที่นั่น เพราะเขาอยู่กันบนตลิ่งสูง เราเลยไปจนถึงใจแผ่นดิน ซึ่งมีบ้านเรือนกระจัดกระจายอยู่ 4 จุด
“ผมเห็นข่าวที่เฮลิคอปเตอร์ตกครั้งที่ไปอพยพชาวบ้าน ก็แถว ๆ เดียวกับป่าที่ผมเคยไปสำรวจครั้งนั้นนั่นแหละ”
หลังจากกลับมาอาจารย์ทองใบได้เขียนวรรณกรรมไทยชื่อ “นิราศใจแผ่นดิน” และได้รับรางวัลที่ 1 ของมูลนิธิธนาคารกรุงเทพ ประจำปี 2528
นอกจากนี้ อาจารย์ทองใบยังได้เขียนบทความเรื่อง “ชุมชนใหญ่ ใจแผ่นดิน แหล่งลับแล..ที่แลลับ” ลงในวารสารศิลปวัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่น ของมหาวิทยาลัยราชภัฎเพชรบุรี เดือนตุลาคม 2555 (อ่านรายละเอียดบทความ “ชุมชนใหญ่ใจแผ่นดิน แหล่งลับแลที่แลลับ”) ซึ่งได้พูดถึงการมีอยู่ของชุมชน
บ้านบางกลอย.
———————————————–
ชุมชนใหญ่ “ใจแผ่นดิน”
แหล่งลับแล…ที่แลลับ
โดย อาจารย์ทองใบ แท่นมณี
กล่าวถึงเมืองลับแลหรือแหล่งลับแลในประเทศไทยก็มีอยู่หลายแหล่งด้วยกัน ที่เป็นชุมชนจริงทางภูมิศาสตร์ก็คือ อำเภอลับแล จังหวัดอุตรดิตถ์ ที่เป็นตำนานหรือนิทานก็เช่น เมืองลับแลในถ้ำแกลบ เขากลวง อำเภอเมืองเพชรบุรี ที่เล่ากันมาว่า คนลับแลอยู่ในถ้ำที่ลึกลับของถ้ำแกลบ สามารถมีมนต์หรือใบไม้วิเศษเปิดปิดผนังของถ้ำได้ มักจะมาซื้อของที่ตลาดเพชรบุรีเป็นประจำ มีเรื่องเล่าว่า ชายหนุ่มชาวตาลเมืองเพชรรู้ความลับของสาวลับแล ได้ติดตามไปอยู่กินเป็นผัวเมียกันอยู่ที่นั่น แต่เมืองลับแลไม่ต้อนรับคนพูดปด วันหนึ่งแม่ไปตลาด ผัวหลอกลูกที่ร้องไห้ว่า “แม่มาแล้ว ให้เงียบเสีย” แม่ยายได้ยินเช่นนั้นก็ว่าลูกเขยโกหก จึงขับไล่ออกจากเมืองลับแล
เมืองลับแลตามตำนานอยู่ตามป่า-เขา-ถ้ำอีกหลายแห่งในประเทศไทย บางแห่งก็ว่าเมืองลับแลเป็นเมืองแม่ม่าย มีนิทานประเภทนี้อยู่หลายจังหวัด สุนทรภู่ก็ว่าไว้ในนิราศวันเจ้าฟ้าว่า นกยางเปีย (มีหางเปียเฉพาะฤดูผสมพันธุ์) ไปไข่ในเมืองลับแลแดน
แม่ม่ายดังกลอนว่า
นกกาน้ำดำปลากระสาสูง เป็นฝูงฝูงเข้าใกล้มันไปเสีย
นกยางขาวเหล่านกยางมีหางเปีย ล้วนตัวเมียหมดสิ้นทั้งดินแดน
ถึงเดือนไขเมืองลับแลเมืองแม่ม่าย ขึ้นไข่ชายเขาโขดนับโกฎิแสน
พอบินได้ไปประเทศทุกเขตแคว้น คนทั้งแผ่นดินมิได้ไข่นกยาง
แต่บ้านใจแผ่นดินของเพชรบุรี(ดูตำแหน่งที่ตั้งเดิมในแผนที่) เดิมก็เป็นชุมชนใหญ่ธรรมดา อยู่ใกล้พรมแดนไทย-พม่า ทางทิศตะวันออกของเพชรบุรี ปัจจุบันสังกัดอำเภอหนองหญ้าปล้อง (ในอดีตอำเภอหนองหญ้าปล้องเป็นตำบลขึ้นกับอำเภอเขาย้อย เพิ่งแยกเป็นกิ่งอำเภอเมื่อ 16 กรกฎาคม 2515 และยกฐานะเป็นอำเภอเมื่อ 21 พฤษภาคม 2533) ไม่ได้เป็นเมืองลับแลอะไรเพราะเป็นชุมชนคนไทย แต่ที่แปลกออกไปก็เพียงอยู่ไกลจากจังหวัด และทางคมนาคมลำบาก ภายหลังชุมชนนี้ขาดการติดต่อกับอำเภอ และเจ้าหน้าที่อำเภอก็ไม่เคยเดินทางไปตรวจราชการที่นั่น มาทราบว่าเป็นชุมชนร้างเอาราว พ.ศ. 2500 ใน พ.ศ. 2524 จังหวัดเพชรบุรี เคยส่งข้าราชการไปสำรวจ เพราะได้รับรายงานจากตำรวจชายแดนและทหารว่าได้เดินทางไปตามพิกัดในแผนที่ไม่พบบ้านใจแผ่นดิน (ผู้เขียนไปในคณะนี้เมื่อ พ.ศ. 2524 ด้วย)
ประวัติของชุมชนใหญ่ “ใจแผ่นดิน”
ผู้เขียนสนใจชุมชนใจแผ่นดินมานานแล้ว เพราะเห็นมีชื่ออยู่ในแผนที่จังหวัดเพชรบุรีตั้งแต่เรียนม.1-3 ที่โรงเรียนเขาย้อยมัธยมสามัญศึกษา (เทียบ ป.5-ป7 ในสมัยต่อมา) สมัยนั้น “ใจแผ่นดิน” ขึ้นกับอำเภอเขาย้อย (อำเภอหนองหญ้าปล้องยังเป็นตำบลสังกัดอำเภอเขาย้อย) ผู้เขียนขณะเป็นนักเรียนได้ค้นคว้าอำเภอต่าง ๆ ในอำเภอเขาย้อย และถามครูว่าตำบลใจแผ่นดินใครเป็นกำนัน ครูใหญ่(สอนภูมิศาสตร์ด้วย) คือครูสมพรธิ์ สุขวงศ์ ก็ตอบว่า ตำบลนี้ปัจจุบันเป็นหมู่บ้านเท่านั้น ขึ้นอยู่กับตำบลยางน้ำกลัดเหนือ แต่กำนันเจ้าของตำบลก็ไม่เคยไป แล้วครูแดงจะถามกำนันให้
ต่อมาอีกเดือนหนึ่งครูได้เล่าเรื่องหมู่บ้านใจแผ่นดินว่า เป็นหมู่บ้านที่ไม่ได้ติดต่อกับอำเภอมาตั้งแต่รัชกาลที่ 4 แล้ว และทางอำเภอก็ไปไม่ถึง เพราะต้องเดินป่าข้ามเขาใหญ่ไปหลายลูกและเป็นดงดิบ ดงเสือ-ดงช้าง ไม่มีใครบอกได้ว่าสภาพเป็นอย่างไร ลือกันว่าเป็นเมืองลับแลไปแล้ว ครูก็หาข้อมูลมาได้แค่นี้
ภายหลังผู้เขียนได้สอบถามครูผู้สอนอีกท่านหนึ่ง(ซึ่งย้ายลงมาจากหนองหญ้าปล้อง เคยสอนเด็กกะเหรี่ยงหลายสิบปี) ชื่อครูเรียบ คำทิพย์(บ้านเกิดอยู่ตำบลหนองปรง อำเภอเขาย้อย) ท่านกรุณาเล่าให้ฟังสรุปเรื่องหมู่บ้านใจแผ่นดินตามคำบอกเล่า(ที่ฟังจากผู้เฒ่าผู้แก่หลายคน) ว่า
1. ที่ตั้ง ชุมชนใจแผ่นดินเป็นบ้านใหญ่ในอดีตตั้งอยู่ตรงตะเข็บชายแดนไทย-พม่า ห่างจากพรมแดนราว 2-3 กิโลเมตร อยู่เหนือบ้านบางกลอย อำเภอท่ายาง ห่างกันราว 25 กิโลเมตร เป็นหมู่บ้านคนไทย(แถบนั้นส่วนมากเป็นกะเหรี่ยง-กะหร่าง) ต่างจากบ้านบางกลอยซึ่งเป็นบ้านกะเหรี่ยง-กะหร่าง
2. สมัยที่จัดตั้ง คาดว่าเป็นชุมชนไทยสมัยอยุธยา ในสมัยโบราณที่คนเดินทางด้วยเท้า เกวียน หรือช้าง หัวหน้าชุมชน(กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน) คงเดินทางมาติดต่อกับอำเภอ-จังหวัด หรืออำเภอจังหวัดคงเดินทางไปถึงตามโอกาส จึงมีชื่ออยู่ในแผนที่มาตลอดตั้งแต่สมัยอยุธยา ธนบุรี และสมัยปัจจุบัน จากปากคำของ
ผู้เฒ่าผู้แก่เล่าว่า คงขาดการติดต่อกับเพชรบุรี ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 4-5 เพราะเดินทางลำบาก หากจะเดินทางไปในเมือง จะเดินทางล่องน้ำตะนาวศรีลงไปที่เมืองตะนาวศรีหรือมะริดจะสะดวกกว่าที่จะเดินทางมาเพชรบุรี อนึ่ง เมืองมะริด ทวาย ตะนาวศรีได้ตกเป็นของอังกฤษในต้นรัชกาลที่ 5 เข้าใจว่าชุมชนใจแผ่นดินคงอพยพไปอยู่ที่อื่นตั้งแต่ครั้งนั้น(อาจอพยพไปอยู่ทางตะนาวศรีหรือย้ายเข้ามาอยู่กับคนไทยด้วยกันทางฝั่งไทย จนชุมชนร้างไป) และทางเพชรบุรีก็ไม่ได้ไปติดต่อเยี่ยมเยือน จึงไม่รู้ความเป็นไป คงมีแต่ชื่อติดอยู่ในแผนที่มาเรื่อย ๆ
3. การเดินทาง หากชาวใจแผ่นดินจะเดินทางมาเพชรบุรีหรือชาวเพชรบุรีจะเดินทางไปใจแผ่นดิน ทางคมนาคมปกติต้องเดินมาทางบ้านบางกลอยและล่องแพลงมาทางอำเภอท่ายางถึงเพชรบุรี ในฤดูแล้งหรือหนาวอาจเดินเท้าหรือใช้ช้างได้ ในฤดูฝนปัจจุบันน้ำอาจใช้เรือยนต์ไปได้ถึงบ้านบางกลอย และเดินเท้าไปถึงบ้านใจแผ่นดินได้
4. สภาพบ้านหรือชุมชน เป็นบ้านใหญ่หรือชุมชนใหญ่ เป็นแหล่งคนไทยล้วน ๆ (ชื่อแถบนั้น เช่น คน ภูเขา ห้วย มักเป็นภาษาพม่า) จึงชื่อเป็นไทย เข้าใจว่าแรก ๆ คงต้องส่งส่วยอากรให้เพชรบุรี แต่ด้วยการเดินทางที่ลำบาก เจ้าหน้าที่ทางเพชรบุรีก็ไม่กล้าเดินทางไปโดยไม่จำเป็น การเก็บส่วยหรือการปกครองก็
เหินห่างไป นาน ๆ เข้าก็คงอยู่กันอย่างอิสระ หันไปติดต่อกับมะริด-ตะนาวศรี ซึ่งมีแม่นน้ำเรือเดินสะดวก(ต่างจากแม่น้ำบางกลอยซึ่งไหลเชี่ยว บางตอนก็เดินเรือไม่ได้) และเมืองเหล่านั้นก็ปกครองหรือเก็บภาษีอะไรไม่ได้ เพราะแผ่นดินขึ้นกับเพชรบุรี
5. ที่มาของชื่อใจแผ่นดิน เล่าว่ามีภูเขาหรือเนินรูปอก(นม)ของหญิง (ต้องมองจากที่สูง) เรียกว่า “อกแผ่นดิน” และต่อมาเรียกว่า “ใจแผ่นดิน” (เพราะในอกต้องมีหัวใจ) เป็นคำพูดที่คนรุ่นเก่า ๆ หมายถึงไกลและลึกลับ เช่น “ไปป่าคราวนี้จะไปให้ถึงใจแผ่นดินทีเดียว”
6. สภาพปัจจุบัน เป็นชุมชนร้าง มีที่สังเกตว่าเคยเป็นบ้านเมืองที่มีผู้คน เช่น มีดงสะท้อน ดงมะไฟ ดงมะปราง แต่ซากปรักหักพังไม่มี เข้าใจว่าบ้านเรือนคงทำด้วยไม้และเป็นไม้ไผ่ส่วนมาก ปัจจุบันคนไทยไม่มีอยู่เลย มีแต่ชาวกะหร่างอยู่กันห่าง ๆ ราว 6-7 หลังคาเรือน และคนเหล่านั้นส่วนมากก็พูดไทยไม่ได้ หรือได้เล็กน้อย
7. ใจแผ่นดินตามแผนที่ บ้านใจแผ่นดินตามแผนที่ถ่ายทำทางอากาศระบุไว้เป็น 4 จุด คือใจแผ่นดิน 1-4 อยู่ห่างกันจุดหนึ่งประมาณ 4-5 กิโลเมตร
แปลกหรือไม่ที่ใจแผ่นดินมีชื่ออยู่ในแผนที่ มีจุดที่ตั้งแน่นอนมีตำบลอำเภอสังกัดแน่นอน แต่ได้กลายเป็นชุมชนร้างไปแล้วแต่เมื่อไหร่ไม่ทราบได้ เพิ่งจะมาตื่นตัวสำรวจค้นคว้ากันในสมัยที่นายประเวศ เรืองจรัสเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบุรี (พ.ศ.2526 ภายหลังตั้งอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน 2 ปี).
———————————————–
บ้านแตกสาแหรกขาด
ฟังเสียงอันขมขื่นในผืนป่าแก่งกระจาน
เมื่อเดือนที่แล้วเธอกลับไปเยี่ยมพี่สาวที่บ้านบางกลอย-โป่งลึกเสียหลายวัน ทำให้รายได้ทั้งเดือนลดลงเหลือแค่ 6,000 กว่าบาท ตามราคาค่าจ้างขั้นต่ำวันละ 300 บาท เงินทั้งหมดครึ่งหนึ่งเธอเอาไปให้พี่สาวที่กำลังเจ็บออด ๆ แอด ๆ ภายหลังจากคลอดลูกแฝด 2 คน
กิจวัตรของ “เมย์” เป็นเช่นนี้มานานหลายปีแล้ว คือแต่ละเดือนต้องมุ่งหาเงินส่งกลับไปจุนเจือพี่สาวและครอบครัวที่ยังอยู่ในดงลึก ขณะที่พี่น้องทั้ง 5 คนต้องแตกกระสานซ่านเซ็นและต้องกระจัดกระจายกันไปหางานทำ เพื่อความอยู่รอด
นับตั้งแต่เธอและชาวบ้านถูกบังคับให้ย้ายจากป่าต้นแม่น้ำเพชรมาอยู่บ้านโป่งลึก หรือบางกลอยล่าง “เมย์” ใช้ชีวิตในวัยเด็กเติบโตมากับป่าใหญ่และเขาสูงที่บ้านบางกลอยบน อำเภอแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี ซึ่งเป็นหมู่บ้านที่ชาวกะเหรี่ยงอาศัยกันมานมนาน จนกระทั่งอายุ 11 ปี เธอต้องย้ายตามครอบครัวลงมาอยู่ในพื้นที่ที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจานจัดให้ที่โป่งลึก
“มันอยู่ไม่ได้หรอกที่นั่น(โป่งลึก) น้ำก็ไม่มี ที่ดินก็ไม่มี ที่ดินนิดหน่อยที่เขาแบ่งให้ปลูกอะไรก็ไม่งาม ปลูกข้าวไม่พอกิน ไม่เหมือนข้างบนที่เราเคยอยู่มาตั้งแต่เกิด ที่นั่น(บางกลอยบน)ปลูกอะไรก็งาม ปลูกข้าวก็พอกิน” น้ำเสียงของเมย์ดูเบิกบานเมื่อพูดถึงหมู่บ้านเดิมซึ่งอยู่ในป่าใหญ่เพราะที่นั่นคือ “ใจแผ่นดิน” ของชาวกะเหรี่ยง
เมย์เป็นหลานสาวคนหนึ่งของปู่คออี้ ผู้เฒ่าอายุกว่าร้อยปีที่นอนน้ำตาตกอยู่ทุกค่ำคืนเพราะเพราะอยากกลับไปตายที่บ้านเกิดที่บ้านป่า หลังจากถูกบังคับให้ย้ายมาอยู่บางกลอยล่างพร้อมชาวบ้าน เธอยังเป็นลูกพี่ลูกน้องกับ “บิลลี่” หนุ่มนักสู้ชาวกะเหรี่ยงที่ถูกทำให้หายตัวไป
นางแซกูมิ พี่สาวของเมย์ที่กำลังเดือดร้อนอย่างหนักเพราะป่วยไข้หลังจากคลอดลูกแฝดและไม่มีข้าวกิน หลังจากถูกบังคับให้ย้ายจากต้นแม่น้ำเพชรมาอยู่ที่บ้านที่อุทยานจัดสรรพื้นที่ไว้ให้อยู่พักใหญ่ ชาวบ้านจำนวนมากต่างต้องออกไปรับจ้างในเมืองใหญ่ เพราะหากรอคอยความหวังลม ๆ แล้ง ๆ ตามคำชวนเชื่อของหน่วยงานรัฐและอีกหลายคนมีหวังต้องอดตาย
พี่ชายของเมย์ก็เช่นกัน ต่างแยกย้ายกันไปทำงาน เหลือเพียงพี่สาวคนโตและพี่สาวคนกลางที่ยังอยู่ในหมู่บ้านโป่งลึกเพราะต้องเลี้ยงดูลูก ๆ ขณะที่เธอตามพี่ชายไปทำงานที่เมืองหัวหิน จังหวัดประจวบฯ ตั้งแต่เรียนกศน.จบป.4 และย้ายไปทำงานแห่งใหม่แถวชานเมืองกรุงเทพฯ
“ต้องหากินไปวัน ๆ ถ้าไม่ทำงานก็ไม่มีเงินส่งไปให้พี่สาวซื้อข้าว ซื้อนม” เมย์พูดถึงพี่สาวคนโต-นางแซกูมึ ด้วยความห่วงใย เพราะตั้งแต่นางคลอดลูกคนสุดท้องซึ่งเป็นฝาแฝดเมื่อ 7 เดือนก่อน นางก็ยังรู้สึกเจ็บแผลที่ผ่าเรื่อยมาจนทำงานแทบไม่ไหว ครั้นจะลงมาหาหมอที่โรงพยาบาลเดิมก็ไม่มีเงิน
“สงสารพี่สาวและหลาน ๆ กลัวไม่มีอะไรกิน เดือนที่แล้วให้เงินไปแค่ 3 พัน ไม่รู้พอกินกันหรือเปล่า เราเองก็ต้องเลี้ยงลูก 1 คน”
พี่สาวคนโตของเมย์มีลูก 7 คน โดยลูกคนโตอายุ 13 ปี สมัยก่อนที่อยู่บ้านบางกลอยบน ทั้งหมดอยู่กันอย่างมีความสุขเพราะทำไร่มีข้าวมีอาหารและมีระบบเครือญาติรองรับ ต่อมาเมื่อหมู่บ้านและยุ้งฉางถูกเผาโดยฝีมือเจ้าหน้าที่รัฐ และบังคับให้อพยพมาลงมา ความสุขต่าง ๆ ที่เคยมีก็อันตรธานไปแทบไม่เหลือ
“ตอนนี้พี่สาวทำงานรับจ้างทอผ้าวันละ 80 บาท แต่ก็ทำไม่ค่อยไหว พี่เขยก็พยายามหาเงินเลี้ยงครอบครัว แต่ก็ไม่ค่อยมีงาน ตอนหลังเลยเกิดปากเสียงกันบ่อย พี่สาวมักบ่นว่าเมื่อไหร่จะตายซะที จะได้พ้น ๆ ไป ข้าวที่คนเคยบริจาคให้ก็หมดไปตั้งนานแล้ว” เมย์เล่าถึงความเครียดที่เกิดขึ้นในหมู่เครือญาติชาว
บางกลอย ข้าวบริจาคที่เมย์พูดถึง คือข้าวเปลือกที่ชาวกะเหรี่ยงทั่วประเทศร่วมกันรวบรวมส่งมาให้ ซึ่งเมื่อปีก่อน “บิลลี่” ยังเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงคนสำคัญอยู่ ก่อนจะถูกอุ้มหายไปในอีกไม่กี่สัปดาห์ต่อมา
ขณะที่ข้าวหลายตันถูกแบ่งจ่ายให้ชาวบ้านกว่า 100 ครอบครัวหมดไปในเวลาไม่นาน ชาวบ้านจึงต้องดิ้นรนเอาตัวรอดกันไปวัน ๆ ที่ผ่านมาบางหน่วยงานพยายามหาทางออกให้ชาวบ้าน เช่น ทำนาขั้นบันได ฝึกอาชีพต่าง ๆ แต่ทั้งหมดเป็นเพียงการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ เพราะต้นเหตุที่แท้จริงคือการบังคับคนกลุ่มใหญ่ให้มาอยู่ในพื้นที่ที่ไม่คุ้นเคยและไม่มีความพร้อม
“ถ้าเขาให้หนูกลับไปอยู่บ้านเดิมที่บางกลอยบนก็จะมีความสุขมาก เพราะอยู่ที่ไหนก็ไม่เหมือนที่นั่น ทุกวันนี้ทุกคนต่างเครียดเพราะไม่มีจะกิน จึงต้องดิ้นรนไปวัน ๆ” ความฝันและความหวังอันสูงสุดของเมย์ก็คือดาวดวงเดียวกันของปู่คออี้ บิลลี่ และชาวบ้านบางกลอยส่วนใหญ่
วันที่ 17 เมษายน 2558 เป็นวันครบ 1 ปีที่บิลลี่ถูกบังคับให้หายตัวไป ขณะที่ความโหดร้ายทารุณยังคงเกิดขึ้นกับชาวบ้านบางกลอยหนักหน่วงขึ้นทุกวัน บ้านแตกสาแหรกขาด ความอดอยาก ความตาย มิใช่สิ่งที่พวกเขาร้องขอ แต่เป็นการถูกยัดเยียด ยิ่งวันครอบครัว ยิ่งไม่ต้องถามถึง เพราะมันจมหายไปบนป่าผืนใหญ่ตั้งแต่ถูกบีบบังคับให้ย้ายลงมา เราได้แต่หวังว่าสักวันหนึ่ง จะได้เป็น “วันครอบครัว” ของเมย์ และชาวบางกลอย.