เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน นายสัตวแพทย์ภุมเมศ ชุ่มชาติ นายสัตวแพทย์ประจำศูนย์วิจัยและพัฒนาทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งอ่าวไทยฝั่งตะวันออก ลงพื้นที่เก็บซากพะยูนเพศผู้ วัยรุ่น ความยาว 2.63 เมตร ซึ่งพบในพื้นที่ระหว่างเกาะทะลุ และเกาะมันใน จ.ระยอง เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2559 คาดว่าเป็นตัวสุดท้ายของพื้นที่ หลังจากปีก่อนพบซากพะยูนในบริเวณเดียวกัน 1 ตัว
“น้ำในอ่าวไทยนั้นขุ่นข้น ไม่ใสเหมือนฝั่งอันดามัน เราจึงทำการบินสำรวจไม่ได้ แต่ใช้วิธีการเก็บข้อมูลจากการทำแบบสำรวจกับชาวบ้านจนได้ข้อมูลที่ตรงกันว่า มีพะยูน 1 คู่ หากินในแนวหญ้าทะเลจากอ่าวมะขามป้อม จ.ระยอง ไปจนถึงอ่าวคุ้งกระเบน จ.จันทบุรี จนเมื่อปีก่อนมีข่าวว่าได้ซากพะยูน 1 ตัว แต่เราติดตามไม่เจอซาก มาปีนี้ เจออีกตัว ก็คงเป็นคู่กันที่เหลืออยู่ และอาจเป็นตัวสุดท้าย” นายสัตว์แพทย์ภุมเมศกล่าว
ทั้งนี้ผลการชันสูตร พบรอยช้ำและปื้นเลือดบริเวณลำตัว แต่ไม่พบร่องรอยอวน หรือการถูกทำร้ายรุนแรงภายนอก แต่เมื่อผ่าพิสูจน์ซากพบร่องรอยการอักเสบและบวมช้ำในชั้นกล้ามเนื้อรอบลำตัว ตลอดจนถึงโพรงจมูก ซึ่งผู้เชี่ยวชาญสันนิฐานว่า เกิดจากการกระแทกกับของแข็งก่อนตาย ส่วนสาเหตุที่ทำให้เกิดการกระแทกนั้นคงยังสรุปไม่ได้ นอกจากนี้ยังพบหญ้าทะเลในทางเดินอาหารทั้งในลำไส้และกระเพาะอาหาร แสดงว่าพะยูนยังคงหากินได้ปกติก่อนตาย ซึ่งจากการเก็บข้อมูลซากพะยูนของกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งมาตลอด 30 ปี ทำให้ทราบว่า พะยูนตัวนี้ เป็นตัวที่ 391 ที่ ได้รหัสเรียกว่า DU-391
นายสัตวแพทย์ภูมเมศ ยังกล่าวอีกว่าอีกไม่กี่วันต่อจากนี้จะมีการสำรวจร่องรอยในแนวหญ้าทะเลในพื้นที่ดังกล่าวอีกครั้ง เพราะร่องรอยกินหญ้าทะเลของพะยูนนั้นเป็นร่องรอยเฉพาะตัว หากเจอร่องรอยใหม่ๆ ก็เชื่อได้ว่าคงมีประชากรพะยูนหลงเหลืออยู่ให้เป็นความหวังสุดท้าย อาจจะยากแต่ก็อยากให้เชื่ออย่างนั้น
“เชื่อว่ายังมีประชากรพะยูนในอ่าวไทยตอนกลางและตอนล่างหลงเหลืออยู่ หากมีการจัดการที่ดี รักษาแนวหญ้าทะเลให้อุดมสมบูรณ์ ลดปัจจัยคุกคาม พะยูนอาจเข้ามาในพื้นที่อีกครั้ง ทั้งพะยูนจากอ่าวไทยและพะยูนจากเขตทะเลเพื่อนบ้านซึ่งไมไกลมาก นอกจากนี้การเก็บข้อมูลในพื้นที่ยังมีความจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายภาคส่วนทั้งชาวบ้าน และนักท่องเที่ยว เพื่อถอดบทเรียนในการดูแลพะยูนในฝั่งอันดามัน และพื้นที่อื่นๆ ที่ยังมีอยู่ต่อไป” นายสัตวแพทย์ภูมเมศ กล่าว