Search

อนุฯ ด้านสิทธิชุมชนและฐานทรัพยากร กสม.เปิดเวทีตรวจสอบโรงงานน้ำตาลพ่วงโรงไฟฟ้าสกลนคร ของ บ.ไทยรุ่งเรืองฯ พบไถเบิกป่าปรับพื้นที่ระหว่างพิจารณา EIA ถมคลองน้ำ งบ อบต. และปรับไถเปลี่ยนทางน้ำสาธารณะ

received_664431710384393
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเมื่อเร็วๆ นี้ คณะอนุกรรมการด้านสิทธิชุมชนและฐานทรัพยากร สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ จัดประชุมตรวจสอบกรณีการละเมิดสิทธิมนุษยชน กรณีโรงงานน้ำตาลและโรงงงานไฟฟ้าชีวมวล ในพื้นที่อำภอกุสุมาลย์ จังหวัดสกลนคร ณ ห้องประชุมภูริทัตโต ศาลากลางจังหวัดสกลนคร ที่มีการร้องเรียนไปตั้งแต่ปี 2555 และร้องเพิ่มเติมในปี 2559 ขอให้ตรวจสอบเรื่องผลกระทบต่อนิเวศวัฒนธรมและสิ่งแวดล้อมในชุมชนลุ่มน้ำอูน โดยมีกลุ่มรักษ์น้ำอูน อ.กุสุมาลย์ จ.สกลนคร เป็นผู้ร้อง ในเวทีดังกล่าวได้มีตัวแทนของบริษัทไทยรุ่งเรืองอุตสาหกรรม จำกัด ส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง และประชาชนจากพื้นที่โครงการเข้าร่วมการประชุมกว่า 100 คน

นางสาวบำเพ็ญ ไชยรักษ์ ตัวแทนฝ่ายผู้ร้อง กล่าวว่า เนื่องจากมีมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อเดือนมีนาคม 2554 ให้บริษัทไทยรุ่งเรืองอุตสาหกรรมจำกัดย้ายกำลังการผลิตน้ำตา12,500 ตันอ้อยต่อวันมาตั้งที่ริมฝั่งแม่น้ำอูน ตำบลอุ่มจาน อำเภอกุสุมาลย์ จังหวัดสกลนคร แต่ต่อมาบริษัทฯ ได้ระบุว่าจะขยายกลังการผลิตเป็นเพิ่มขึ้นเป็น 40,000 ตันอ้อยต่อปี พร้อมทั้งจะมีการสร้างโรงไฟฟ้าชีวมวลขนาด 114 เมกกะวัตต์พร้อมในพื้นที่เดียวกัน โดยฝ่ายบริษัทระบุว่าได้ยื่นรายงานศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมของทั้งโรงงานน้ำตาลและโรงไฟฟ้าชีวมวลเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการผู้ชำนาญการแล้วตั้งแต่เมี่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ขณะที่กลุ่มรักษ์น้ำอูนและประชาสังคมสกลนคร ระบุว่าได้ร่วมกับ ม.ราชภัฏอุดรธานี และ ม.ราชภัฏสกลนคร สำรวจนิเวศวิทยาในพื้นที่ตั้งโครงการและพื้นที่ชุมชนรอบ ๆ พบว่า เดิมที่ดินแปลงดังกล่าวมีสภาพเป็นป่าเต็งรังในที่ดินกรรมสิทธิของเอกชน สลับกับนาข้าว มีถนนสาธารณะไม่น้อยกว่า 3 สายตัดผ่าน มีคลองไส้ไก่ที่ขุดโดยงบประมาณ อบต.ขุด และมีลำห้วยเตย ลำห้วยสาธารณะสาขาของแม่น้ำอูน ซึ่งเป็นลำน้ำสาขาของแม่น้ำสงคราม และแม่น้ำโขง ไหลผ่านพื้นที่โครงการ ปัจจุบันบริษัทได้นำเครื่องจักรจำนวนมากเข้าไถเบิกป่าเต็งรังธรรมชาติ ถมพื้นที่ บุกเบิกป่าทั้งหมดในพื้นที่ราว 1,500 ไร่ตั้งแต่ต้นเดือนพฤศจิกายน 2559 ตลอดทั้งวันทั้งคืนเป็นเวลาไม่ถึงเดือน ทั้งนี้กลุ่มรักษ์น้ำอูนได้นำอนุกรรมการสิทธิด้านสิทธิชุมชนและทรัพยากรธรรมชาติ กสม. เข้าสำรวจพื้นที่เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2559 ที่ผ่านมาและพบว่าในพื้นที่ดังกล่าวได้มีการบุกเบิกจริง ขณะที่มีการขุดถมคลองไส้ไก่ที่ขุดด้วยงบ อบต. และพบว่ามีการเปลี่ยนทางน้ำสาธารณะห้วยเตย หนองน้ำสาธารณะหนองกุงจนได้รับความเสียหาย จริง และทางกลุ่มรักษ์น้ำอูนได้ทำหนังสือร้องต่อ อบต.อุ่มจานให้เข้าระงับการกระทำดังกล่าว แต่ฝ่าย อบต.มีหนังสือตอบกลับมาว่า อบต. ไม่มีอำนาจเข้าระงับเพราะเป็นกิจกรรมในที่ดินเอกชน

ตัวแทนฝ่ายผู้ร้องยังได้ระบุเพิ่มเติมว่า กลุ่มรักษ์น้ำอูนได้ร้องเรียนต่อ กสม.ในเรื่องนี้มาตั้งแต่ปี 2555 และได้ร้องเพิ่มเติมอีก 2 ครั้งในปี 2559 เนื่องเพราะประชาชนในชุมชนลุ่มน้ำอูนเกิดข้อกังวลใจว่าการมาสร้างโรงงานน้ำตาลขนาด 40,000 ตันอ้อยต่อวันซึ่งต้องการพื้นที่ปลูกอ้อยไม่น้อยกว่า 300,000 – 400,000 ไร่ ประกอบกับการสร้างโรงไฟฟ้าชีวมวลในพื้นที่ติดกับชุมชนนั้นจะส่งผลกระทบทางสังคม วัฒนธรรม และสิ่งแวดล้อมอย่างรุนแรง อีกทั้งมติ ครม.ที่ให้ย้ายกำลังการผลิตมาที่สกสลนครเพื่อให้มาใกล้แหล่งวัตถุดิบนั้น แต่พบ อ.กุสุมาลย์ ก่อนมีมติ ครม. – 2558 นั้นมีพื้นที่ปลูกอ้อยเพียง 370 ไร่ อีกทั้งจังหวัดสกลนคร นครพนม และบึงกาฬ เป็น 3 จังหวัดภาคอีสานที่มีพื้นที่ปลูกอ้อยน้อยมาก หากแต่เป็นพื้นที่ลุ่มน้ำอูน ลำน้ำสาขาของแม่น้ำสงครามซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีระบบนิเวศเฉพาะ ประกอบด้วยป่าทาม ป่าโคก ป่าดง ฮ่อมห้วย บะ หนอง ที่มีการเปลี่ยนแปลงตามฤดูกาลและมีความหลากหลายทางชีวภาพเป็นอย่างยิ่ง ตัวลำน้ำอูนที่มีความอุดมสมบูรณ์และเป็นแหล่งที่อาศัยของสัตว์น้ำ มีความหลากหลายของสัตว์น้ำที่หายาก มีงานศึกษาร่วมกับมหาวิทยาลัยราชภัฎอุดรธานีในเดือนมิถุนายน 2557 เป็นเวลา 3 วันพบปลา 27 ชนิด และเป็นพันธุ์ปลาที่เสี่ยงใกล้สูญพันธุ์ ได้แก่ ปลาแค้ติดหิน, ปลาเสือดำส่วนปลาเศรษฐกิจ ได้แก่ ปลาสร้อยหัวกลม, ปลาสร้อยนกเขา, ปลาแขยงข้างลาย ปลากดเหลือง และปลาปากเปือน เป็นต้น อีกทั้งยังพบเครื่องมือในการหาปลาจำนวน 33 ชนิดที่ชี้ให้เห็นวัฒนธรรมการใช้ประโยชน์ทรัพยากรสัตว์น้ำของชุมชน นอกจากนี้ระบบนิเวศที่โดดเด่นของบริเวณนี้คือมีป่าโคก หนือป่าเต็งรังที่ยังคงอุดมสมบูรณ์อยู่ล้อมรอบนาข้าว แปลงเล็ก ๆ ที่มีวัฒนธรรมการใช้ประโยชน์ทรัพยากรธรรมชาติร่วมกัน แม้จะเป็นที่ดินเอกชนโดยส่วนใหญ่ชาวบ้านจะมีที่ดินที่ยังมีสภาพเป็นป่าโคกสูงถึงกล่าวร้อยละ 80 ของที่ดินถือครองส่วนที่เหลือเป็นนาข้าว หนองน้ำ ธรรมชาติ มีความหลากหลายของอาหารธรรมชาติ เช่น เห็ด ดอกกระเจียว ผักหวาน และแมลงที่กินได้ซึ่งมีความหลากหลายกว่า 20 ชนิด ซึ่งได้มีรายงานการสำรวจมูลค่าทางเศรษฐกิจของป่าเศรษฐกิจครอบครัวของชุมชนในตำบลอุ่มจานร่วมกับ ม.ราชภัฏอุดรธานี ทำการสำรวจป่าเศรษกิจครอบครัวเฉพาะที่บ้านโคกสะอาดหมู่บ้านเดียว ที่ยังคงเป็นสมบูรณ์อยู่ล้อมรอบนาข้าวมีพื้นที่ไม่ต่ำกว่า 1,200 ไร่ มีมูลค่าปัจจุบันของไม้ใช้สอยคิดเป็นเงิน 24,035,424 บาท และมีมูลค่าในอนาคต (หากปล่อยไว้ 25 ปี) คิดเป็นเงิน 224,896,128 บาท และได้ทำการสำรวจป่าสาธารณะโคกสนามซึ่งมีพื้นที่ประมาณ 3,000 ไร่ และมีมูลค่าปัจจุบันของไม้ใช้สอย คิดเป็นเงิน 72,087,000 บาท มูลค่าในอนาคต (หากปล่อยไว้ 25 ปี) คิดเป็นเงิน 1,196,235,000 บาท โดยที่ไม่ต้องทำอะไรเพียงปล่อยไว้เฉย ๆ และในชุมชนลุ่มน้ำอูนยังมีวัฒนธรรมการผลิตของชาวนาโคก นาทุ่ง นาทาม นาบะ นาหนอง นาริมห้วย ที่ต้องอาศัยพันธุ์ข้าวพื้นบ้านที่หลากหลายกว่า 100 สายพันธุ์ และเป็นข้าวพื้นบ้านที่ได้รับความนิยมมีราคาขายเป็นข้าวเปลือกสูงถึง 40 – 80 บาทขณะที่ชุมชนได้เริ่มมีการแปรรูปข้าวพื้นบ้าน เป็น กลุ่มข้าวฮาง กลุ่มข้าวพื้นบ้าน หลายกลุ่มด้วยกันซึ่งเป็นศักยภาพชุมชนที่จะถูกทำลายไปจากการส่งเสริมปลูกพืชเชิงเดี่ยวซึ่งเป็นพืชเกษตรเคมีเข้มข้นเพราะโรงงานแห่งนี้ต้องการพื้นที่ปลูกอ้อยป้อนโรงงานไม่ต่อกว่า 150,000 – 400,000 ไร่

received_6644317137177261

นายชาติชาย พุทธิไสย์ ผู้ใหญ่บ้านโคกสะอาด กล่าวว่า ปัจจุบันบริษัทได้ดำเนินการไถและบุกเบิกพื้นที่ไปหมด ประเด็นสำคัญคือ พื้นที่ที่โรงงานได้กว้านซื้อนั้นคร่อมกับถนนสาธารณะที่ชุมชนใช้ประโยชน์สัญจรไปมาเพื่อไปเลี้ยงสัตว์และหาอยู่หากินในป่าโคก ในลำน้อูน รวมถึงได้มีการเปลี่ยนทางและถมลำห้วยเตย ซึ่งเป็นห้วยธรรมชาติบางช่วง ได้มีการถมคลองไส้ไก่ ซึ่งเป็นคลองดินชลประทานสาธารณะของชุมชน ไม่ทราบว่าถมได้อย่างไร

“การไถป่าโคกนับพันไร่ในเวลาอันรวดเร็ว ทำให้ชาวบ้านเกิดความรู้สึกหดหู่ใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะชาวบ้านมีวิถีชีวิตที่สัมพันธ์กับป่าโคกผืนนั้นแม้จะเป็นที่ดินมีเอกสารสิทธิแต่วัฒนธรรมการใช้ประโยชน์ร่วมกันก็ยังมีอยู่ เราเศร้าใจมากกับการเปลี่ยนแปลงที่เร็วมาก บริเวณที่โรงงานจะมาสร้างเป็นแหล่งที่เลี้ยงสัตว์ของชาวบ้านหายไป และความสัมพันธ์ของชาวบ้านในหมู่บ้านและบ้านใกล้เคียงเริ่มลดน้อยลง เกิดความขัดแย้งแบ่งแยกระหว่างกลุ่มผู้นำชุมชนที่ปัจจุบันทำหน้าที่รวบรวมที่ดินเพื่อส่งเสริมการปลูกอ้อย หรือรวบรวมที่ดินขายต่อให้บริษัทสำหรับตั้งโรงงาน อันนี้ก็เป็นปัญหาใหญ่ของชุมชนเรา”

นายสมคิด พุ่มชาติ หัวหน้าทีมผู้จัดทำรายงานการศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมของโครงการโรงน้ำตาลและโรงไฟฟ้าชีวมวลของโครงการนี้ จากบริษัทคอนซัลแตนท์ ออฟ เทคโนโลยี ( Consultant Of Technology Company Limited) กล่าวว่า ปัจจุบันการจัดทำรายงานผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม(EIA) ได้จัดทำรายงานฉบับสมบูรณ์แล้วเสร็จและมีการส่งเข้าไปยังสำนักงานนโยบายและแผนสิ่งแวดล้อมและคณะกรรมการผู้ชำนาญการ (คชก.) ตามขั้นตอนแล้วและรายงานดังกล่าวไม่ผ่านการพิจารณาไปแล้วหนึ่งครั้ง และสถานะของรายงานดังกล่าวจึงอยู่ในระหว่างการปรับปรุงเพื่อนำเข้าสู่การพิจารณาอีกครั้ง

นายหาญณรงค์ เยาวเลิศ คณะอนุกรรมการสิทธิชุมชนและฐานทรัพยากร กล่าวว่า การที่บริษัทได้มีการไถป่าและปรับพื้นที่ก่อตั้งโรงงานในระหว่างที่รายงานศึกษาผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม EIA ยังไม่ผ่านการพิจารณา ตามหลักการถือว่าผิดกฎหมาย พรบ.สิ่งแวดล้อม เพราะมีการปรับสภาพพื้นที่เปลี่ยนแปลงไปจากการศึกษาก่อนจะมีโครงการ และขุดถมดิน การตัดไม้ที่อยู่ในที่ดินของตนซึ่งเป็นมีสภาพเป็นป่า อาจจะมีรายชื่อต้นไม้ที่อยู่ในบัญชีรายชื่อห้ามตัดไม้ตามกฎหมาย ถูกตัดโค่นออกไปอีกด้วย

ด้านนางสาวสอ รัตนมณีพลกล้า อนุกรรมการฯ ระบุว่าจากการลงพื้นที่และจัดเวทีตรวจสอบข้อเท็จจริงยังพบอีกว่า ในพื้นที่มีการกว้านซื้อที่ดินซึ่งเคยเป็นป่าโคกและนาของชาวบ้านซึ่งได้มีการตัดไม้จำนวนมหาศาลออกจากพื้นที่ที่เป็นป่าอยู่เดิม และมีการถมดินและขุดบ่อบางส่วนเพื่อสร้างองค์ประกอบของโรงงาน และมีการขุดรากถอนโคนต้นไม้ออกไปจนราบเตียน ตลอดจนมีการถมเปลี่ยนทางน้ำของลำน้ำห้วยเตย หนองกุง ซึ่งเป็นลำห้วยและหนองสาธารณะที่ชาวบ้านใช้ประโยชน์ร่วมกัน มีการถมคลองไส้ไก่ ซึ่งเป็นคลองชลประทานที่ชาวบ้านได้อุทิศที่ดินเพื่อให้เป็นประโยชน์ของสาธารณะในการสูบน้ำและส่งน้ำชลประทาน จริง และนี่นับเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องตรวจสอบให้ชัดเจนและเป็นกระทำที่เป็นการละเมิดต่อสาธารณะสมบัติของแผ่นดินหรือไม่อย่างไร

ด้านนายสมคิด ปัญญา ตัวแทนจากคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาล กล่าวว่าตามมติ ครม. ตั้งแต่เดือนมีนาคม 2554 มีเงื่อนไขว่าบริษัทจะต้องแจ้งขอประกอบกิจการภายใน 5ปี หรือจะต้องขอใบอนุญาตประกอบกิจการจากโรงงาน ตามพรบ.ประกอบกิจการโรงงาน หรือ รง.4 ซึ่งจะพ้นกำหนดภายในปี 2559 นี้ ซึ่งก็พบว่าทางโรงงานได้ทำหนังสือขอขยายเวลาการยื่นประกอบกิจการโรงงานออกไปเป็นปี 2561 ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของกระทรวงอุตสาหกรรมว่าจะขยายเวลาหรือไม่

อนึ่ง บริษัท ไทยรุ่งเรืองอุตสาหกรรมจำกัดหรือ “กลุ่มน้ำตาลไทยรุ่งเรือง” เจ้าของน้ำตาลยี่ห้อ “ลิน” ซึ่งเป็นผู้ผลิตและส่งออกน้ำตาลรายใหญ่ของประเทศ เป็นที่รู้จักในนาม “Thailand King of Sugar” มีสายการผลิตของโรงงานกว่า 9 แห่ง ทั่วประเทศ โดยบริษัทดังกล่าว ได้รับมติเห็นชอบในหลักการของคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2554 ให้นำเครื่องจักรที่มีกำลังการผลิต 2000 ตันอ้อย/วัน ไปตั้งใหม่ที่ตำบลอุ่มจาน อำเภอกุสุมาลย์ จังหวัดสกลนคร และขอขยายกำลังการเป็น 12500 ตัน/วัน และจะเพิ่มการผลิตเป็น 40,000 ตันต่อวันเมื่อได้รับการเห็นชอบให้ตั้งโรงงานผลิตน้ำตาลทรายแล้ว นอกจากนี้ยังมีการขอตั้งโรงไฟฟ้าชีวมวล ขนาด 114 เมกะวัตต์ โดยใช้ชานอ้อยที่เหลือจากการผลิตน้ำตาลเป็นเชื้อเพลิง โดยการย้ายเครื่องจักรและการขอประกอบโรงงานทั้งสองแห่งในพื้นที่จังหวัดสกลนครนั้นยังเป็นข้อกังขาของคนสกลนคร เนื่องจากจังหวัดสกลนครไม่มีพื้นที่ปลูกอ้อยมากเพียงพอที่จะรองรับการผลิต รวมไปถึงขณะนี้ยุทธศาสตร์ของจังหวัดสกลนครก็มุ่งไปที่การพัฒนาเมืองในเป็น “เมืองแห่งสมุนไพร” เนื่องจากเป็นจังหวัดหนึ่งในภาคอีสานที่มีผืนป่าเป็นจำนวนมากและมีความหลากหลายทางชีวภาพ โดยเฉพาะ “ป่าโคก”ตามหัวไร่ปลายนาของชาวบ้าน ที่มีเป็นเอกลักษณ์ของท้องถิ่น

On Key

Related Posts