Search

ถอดบทเรียน 12 ปี สึนามิ หลายฝ่ายเปรียบสังคมไทยกำลังเผชิญคลื่นยักษ์ระลอกใหม่ ชี้เมกกะโปรเจคก่อมรสุมให้ชุมชนทั่วประเทศ

15722822_665453053615592_1851948637_n
ภาพโดย วิโชติ ไกรเทพ

เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2559 ที่อนุสรณ์สถานสึนามิบ้านน้ำเค็ม ตำบลบางม่วง อำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา มีกิจกรรม “รำลึก 12 ปีสึนามิ : จากอาสาสมัครสึนามิ สู่การพัฒนาที่ยั่งยืน” ซึ่งได้รับความร่วมมือจัดงานจากหลายภาคส่วน โดยปีนี้มีผู้เข้าร่วมจากเครือข่ายต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน ราว 300 คน

บรรยากาศทั่วไปภายในงานมีการจัดนิทรรศการจากเครือข่ายต่าง เช่น เครือข่ายชาวเล เครือข่ายไทยพลัดถิ่น เครือข่ายสิทธิคนจนจังหวัดภูเก็ต เพื่อนำเสนอข้อมูลและภาพถ่ายแง่มุมต่างๆ ของท้องถิ่นในพื้นที่ซึ่งประสบภัยสึนามิเมื่อปี2547 ฯลฯ สำหรับกิจกรรมปีนี้จัดขึ้นระหว่างวันที่ 25-26 ธันวาคม 2559 วันแรกเป็นเวทีเสวนา “บทเรียนสึนามิสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน” และเวที “การยกระดับบทเรียนจากสึนามิ สู่การพัฒนาที่ยั่งยืน”

นายนิรันดร์ หยังปาน ตัวแทนเครือข่ายชาวเล กล่าวว่า ระยะเวลา 12 ปี หลังเกิดคลื่นสึนามิกลุ่มชาวเลทั้ง 5จังหวัดอันดามัน ยังเผชิญชะตากรรมหลายด้านในสิทธิที่ดินทำกิน และที่อยู่อาศัย โดยเกิดข้อพิพาทด้านที่ดินกับทั้งภาครัฐและเอกชนและยังไม่มีแนวโน้มว่าจบ แต่ภายใต้คราบน้ำตา ความทุกข์นี้ทำให้ชาวเลมีเครือข่ายร่วมทุกข์ด้วยกันทั้ง 5 จังหวัดที่ทำงานเชื่อมโยงกันและเกิดการระดมทุนเพื่อต่อสู้เพื่อให้เกิดการประกาศเขตวัฒนธรรมพิเศษและขณะนี้คืบหน้ามาสู่การผลักดันให้เกิดเป็นกฎหมาย เนื่องจากที่ผ่านมาเป็นแค่มติคณะรัฐมนตรีแล้วไม่มีผลในการปฏิบัติ

 

15723837_665453056948925_2142680414_n
ภาพโดย วิโชติ ไกรเทพ

นายวิชัย ชาญณรงค์ ตัวแทนเครือข่ายไทยพลัดถิ่น กล่าวว่า คนไทยผลัดถิ่นใช้วิกฤติสึนามิเพื่อประกาศตัวตน หลังจากที่เครือข่ายพบปัญหาว่าจากเดิมนั้นคนไทยพลัดถิ่นไม่มีบัตรประชาชน ทำให้เข้าไม่ถึงการช่วยเหลือและเยียวยาจากภาครัฐ เครือข่ายจึงกลายเป็นพลเมืองชั้นสอง ขณะนั้นยอมรับว่าท้อใจแต่ไม่อยากยอมแพ้ เลยคิดว่าเครือข่ายต้องสร้างตัวตนให้คนรู้จักจึงออกไปช่วยเหลือชาวบ้านน้ำเค็มและชุมชนชาวเลที่เกาะเหลาจังหวัดระนอง ที่ประสบปัญหา เช่นช่วยสร้างบ้าน ช่วยนำของไปบริจาค ช่วยทำความสะอาด ฯลฯ

“ ทีนี้ไอเดียที่เราได้มาเพิ่ม คือ การออมเงินวันละบาทเพื่อใช้ต่อสู้ ซึ่งกองทุนเงินออมนี้พัฒนามาสู่งบประมาณเพื่อเคลื่อนไหวร่างกฎหมายสัญชาติฉบับใหม่ที่เปิดช่องให้คนไทยพลัดถิ่นได้คืนสัญชาติไทยและกลายเป็นที่รู้จักของสังคมขึ้นมาซึ่งปัจจุบันคนไทยพลัดถิ่นกลุ่มนี้มีอยู่ 50,000 คน” นายวิชัย กล่าว

นายอารีย์ ติงหวัง กลุ่มรักจังสตูล กล่าวว่า ผมไม่อยากให้จัดงานรำลึกสึนามิทุกปี หรือคิดถึงแค่คลื่นภัยจากสึนามิ แต่ให้คิดเตรียมพร้อมถึงภัยอื่น เช่น กรณีภัยจากโรงไฟฟ้าถ่านหิน ภัยจากท่าเรือปากบารา ซึ่งภัยเหล่านี้ทำลายล้างชุมชนได้พอๆ กับสึนามิและหากสึนามิกระตุ้นให้เกิดการเตรียมความพร้อมและจุดประกายการปกป้องชุมชน ภัยเหล่านี้ก็ควรเอามาเป็นบทเรียนว่าชาวบ้านต้องตั้งมือรับแล้ว แน่นอนว่าตอนเกิดสึนามิเราต้องเก็บข้อมูลความเสียหายเพื่อรายงานภาครัฐให้เขามาช่วยฟื้นฟู โดยอ้างอิงจากข้อมูลความเสียหาย ต้องพึ่งองค์การพัฒนาเอกชนให้มาร่วมมือมาหนุน แต่ภัยรูปแบบใหม่นี้ชาวบ้านต้องเก็บข้อมูลเพื่อป้องกันความเสียหาย

ภาพโดย Transborder News
ภาพโดย Transborder News

ด้านนายวราวุฒิ มาศโอสถ ตัวแทนจากกลุ่มกำพวนโมเดลกับมิติศาสนากลไกการจัดการชุมชน จังหวัดระนอง กล่าวว่า กำพวนโมเดลเกิดขึ้นจากสตรีไม่กี่คนมาร่วมกันเก็บเงินออมวันละ 1 บาท แล้วเอาเงินส่วนนี้ไปมอบช่วยเหลือเด็กกำพร้าและกลุ่มผู้ป่วยเอดส์/เอชไอวี ที่เป็นเหยื่อสึนามิ ซึ่งยังมีชีวิตอยู่แต่ไม่มีองค์กรใดคิดถึงให้ความช่วยเหลือทันท่วงที ทุนที่มีเอาไปให้สวัสดิการสังคม เราส่งเสริมการศึกษา และส่งเสริมด้านสุขภาวะ เพื่อให้คนรุ่นใหม่ได้มีโอกาสใช้ชีวิตต่อไปในสังคม

นางปรีดา คงแป้น ผู้จัดการมูลนิธิชุมชนไท กล่าวว่า ภัยทุกอย่างที่เกิดขึ้นในประเทศไทย ถ้าปัญหานั้นไปลงที่กลุ่มคนชายขอบจะถูกรัฐส่วนกลางมองข้าม ดังนั้นทางรอดของชุมชนชายขอบ คือ ต้องสร้างตัวตนขึ้นมา เช่น ชาวเลก็รวมตัวกันต่อสู้เรื่องที่ดิน ไทยพลัดถิ่นก็ออมเงินเคลื่อนไหวกฎหมายเป็นต้น

นายจำนงค์ จิตนิรัตน์ ผู้ประสานงานขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (พีมูฟ) กล่าวว่า สมัยเกิดสึนามิบ้านน้ำเค็มไม่ต่างจากพื้นที่เจอนิวเคลียร์บอมบ์ แต่ฟื้นตัวเร็วในแง่ที่ว่ามีการรวมตัวของเครือข่ายชาวบ้านเกิดขึ้นในแต่ละชุมชนแล้วมาแก้ปัญหาของตนเอง เช่น ชาวบางสักก็ลุกขึ้นมารวมตัวเรียกร้องทวงสิทธิที่ดินอยู่อาศัยและที่ทำกิน โดยเร่งรัดการออกโฉนดชุมชนเพื่อใช้ที่ดินร่วมกัน ปลอดการซื้อขาย ส่วนนี้เห็นควรว่านายกรัฐมนตรีควรมาลงนามความร่วมมือการพัฒนาที่ยั่งยืนกับชาวบ้านที่นี่ สึนามิทำลายล้างชุมชนเล็กๆก็จริงแต่ชาวบ้านพลิกวิกฤติเป็นโอกาส ชุมชนกลายมาเป็นฐานการพัฒนาแต่ว่าติดขัดที่บางอย่างที่ชุมชนหาทางออกได้แล้วรัฐไม่สนอง

ภาพโดย Transborder News
ภาพโดย Transborder News

“การต่อสู้บางอย่างชุมชนไม่ได้ต่ดสู้เพื่อต้องการของฟรี เช่น กรณีที่ดินที่ชาวบ้านขอออกโฉนดชุมชน คือชาวบ้านรู้ตนเองไม่มีเอกสารสิทธิ์ แต่ต้องการสิทธิ์ที่อยู่อาศัยและทำกินเท่านั้น ไม่มีการซื้อขาย แต่บางพื้นที่ก็ยังไมได้โฉนดชุมชน ทั้งที่ชี้ช่องให้รัฐแก้แล้ว ทีนี้ถ้าถามผมว่าทำไมรัฐไม่ทำให้เหยื่อสึนามิมีสิทธิ์ตรงนั้น ก็เพราะว่าสึนามิเหมือนตัวอย่างการทำลายล้าง ที่ทำให้ชุมชนถูกย้ายออกจากที่อยู่เดิมจนปัญหาความขัดแย้งที่ดินระหว่างรัฐ เอกชน กับชาวบ้าน ซึ่งหากไม่ต่อสู้และไม่แก้ตรงนี้ ห่วงว่าไม่นานนักจะมีภัยซ้ำ ภัยที่ว่าก็คือภัยการพัฒนา เช่น เรื่องเศรษฐกิจพิเศษ เพราะหลายพื้นทีอยู่ในแผนที่จะถูกเวนคืน คือถ้าทุนใหญ่มาตรงไหนตรงนั้นก็เดือดร้อน โครงการเหล่านี้เปรียบเหมือนคลื่นมรสุมที่เข้ามาทำให้คนเล็กคนน้อยเดือดร้อน จึงอยากให้คนไทยรู้ว่าถ้าภัยเหล่านี้เข้ามาอาจสร้างความเสียหายไม่ต่างกับสึนามิ คือป่าถูกทวงคืน ทะเลถูกทวงคืน ที่ดินถูกทวงคืน คนไทยจึงควรปกป้องชุมชนก่อนคลื่นเหล่านี้จะมา” นายจำนงค์ กล่าว

รศ.ปาริชาติ วลัยเสถียร นักวิชาการด้านสังคม กล่าวว่า ประเด็นสำคัญจากบทเรียน 12 ปี สึนามิ คือ ชุมชนรู้จักเก็บข้อมูล จัดการข้อมูล และวิเคราะห์ ซึ่งหากจะนำมาประยุกต์ใช้ ส่วนตัวเห็นว่าประเทศไทยมีโอกาสเจอคลื่นลมมรสุมอยู่ตลอดเวลา ขึ้นอยู่ว่าผู้ประสบภัยและผู้เสี่ยงภัยจะมีความเข้มแข็งมาเพียงไร ที่แม้ปัจจุบันยังไม่เกิดคลื่นสึนามิอีกครั้ง แต่สังคมไทยมีคลื่นภัยชนิดอื่นกำลังเกิดขึ้น ทั้งโครงการท่าเรือน้ำลึก การก่อสร้างเขตอุตสาหกรรม โรงไฟฟ้าถ่านหิน เหมืองแร่ เหล่านี้กำลังเป็นภัยกับชาวบ้านในหลายพื้นที่

อนึ่งหลังจากข้อมูลทางการไทยระบุว่าจากเหตุการณ์ภัยพิบัติสึนามิถล่มในพื้นที่จังหวัดอันดามัน ปี 2547 ทำให้ประชาชนจังหวัดพังงา เสียชีวิตไปกว่า 4,300 คน เศรษฐกิจเสียหายไปกว่า 5 พันล้านบาท ขณะนี้มีการร่วมมือในการฟื้นฟูจนกลับคืนสู่สภาวะปกติเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยพบว่า สาเหตุที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมากเกิดจากการที่ประชาชนไม่มีองค์ความรู้ ประกอบกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นภัยทางธรรมชาติที่เกินควบคุม จังหวัดพังงา จึงได้สร้างองค์ความรู้ให้แก่ประชาชนอย่างต่อเนื่อง และให้ญาติของผู้ที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์ธรณีพิบัติภัยสึนามิ ได้ร่วมไว้อาลัยจากเหตุการณ์ดังกล่าว

ทั้งนี้สำหรับกิจกรรมเพิ่มเติมในงานรำลึก 12 ปีสึนามิฯ ที่จังหวัดพังงา ได้มีการจัดเตรียมสถานที่สำหรับจัดพิธีรำลึกเช่นทุกปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นอนุสรณ์สถานเรือ ต.813 ตำบลคึกคัก อำเภอตะกั่วป่า อนุสรณ์สถานบ้านน้ำเค็ม ตำบลบางม่วง อำเภอตะกั่วป่า โดยในวันที่ 26 ธันวาคมนี้ ทางจังหวัดได้จัดพิธีรำลึก และวางดอกไม้หน้ารูป คุณพุ่ม เจนเซ่น พระโอรสในทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี ซึ่งถึงแก่อนิจกรรมจากเหตุการณ์ครั้งนั้น ก่อนจะร่วมพิธีไว้อาลัย และพิธีกรรมทางศาสนาให้แก่ผู้ที่เสียชีวิตจากเหตุธรณีพิบัติภัยสึนามิ ทั้ง พุทธ คริสต์ อิสลาม และร่วมชมการสาธิตการช่วยเหลือและรับมือภัยพิบัติ และพิธีรำลึกครบรอบ 12 ปีสึนามิ
//////////////////

On Key

Related Posts