
สำนักข่าวอิรวดีได้เปิดเผยบทสัมภาษณ์ของผู้ผลัดถิ่นภายใน (IDP) ซึ่งส่วนใหญ่มาจากเขตเมืองน้ำตู้ ทางเหนือของรัฐฉาน เผยสงครามทำให้ไร้บ้าน สูญเสียที่ทำกินและตกงานไม่มีคนจ้าง และกำลังเผชิญกับการขาดแคลนอาหารเพราะไม่มีคนช่วยเหลือ นอกจากนี้ยังถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนมาตั้งแต่วันที่ 20 พฤศจิกายนที่ผ่านมา โดยผู้พลัดถิ่นยังเผยเพิ่มเติมว่า พวกเขาโกรธแค้นกองทัพพม่าและกลุ่มติดอาวุธชาติพันธุ์ต่าง ๆ ที่ยังทำให้สงครามดำเนินต่อไป
“พวกเรากลายเหมือนหญ้าที่ถูกเหยี่ยบย่ำระหว่างที่สองฝ่ายสู้รบกัน ” บรางไม ผู้ผลัดถิ่นคะฉิ่นจากเมือง Mong Ton ที่ลี้ภัยมาอยู่ในตัวเมืองน้ำตู้ ทางเหนือรัฐฉานกล่าว หลังเกิดสงคราม โดยเขายังกล่าวเพิ่มเติมว่า เขาเกลียดกลุ่มติดอาวุธชาติพันธุ์ทั้งหมด รวมถึงกองทัพพม่าด้วยที่ทำให้สงครามดำเนินไป
“พวกเขาไม่ได้ไปสู้กันในป่า แต่มาสู้กันในหมู่บ้านที่เราอยู่อาศัย หากพวกเขามีความกล้าพอ พวกเขาก็จะไปสู้กันนอกหมู่บ้านหรือตามภูเขา ซึ่งก็ไม่มีใครสนใจอยู่แล้ว” บรางไมเป็นหนึ่งในผู้พลัดถิ่นภายในที่ยังไม่รู้ว่าจะสามารถกลับบ้านของตัวเองได้เมื่อไหร่
ศูนย์พักพิงชั่วคราวที่จัดตั้งขึ้นในตัวเมืองน้ำตู้ ได้รองรับผู้พลัดถิ่นทั้งชาวคะฉิ่น ชาวไทใหญ่ ลีซู และชาวปะหล่อง ซึ่งแยกกันอยู่รวมกันตามกลุ่มชาติพันธุ์ของตนเอง เช่น ชาวไทใหญ่และชาวปะหล่องอาศัยอยู่ตามวัด ชาวคะฉิ่นอาศัยอยู่ใกล้กับโบถส์ ขณะนี้มีตัวเลขผู้พลัดถิ่นภายในทั้งสิ้น 923 คน โดยส่วนหนึ่งหนีภัยสงครามระหว่างกองทัพพม่าและกองทัพเอกราชคะฉิ่น KIA อีกส่วนหนึ่งเป็นหนีการสู้รบระหว่างสภาเพื่อการกอบกู้รัฐฉาน/กองทัพรัฐฉานใต้ RCSS/SSA และกองกำลังปะหล่อง TNLA เมื่อ 4 เดือนก่อน
“เมื่อไหร่ก็ตามที่ทหารปะหล่อง TNLA มาที่หมู่บ้านของเรา พวกเขาจะบังคับให้ชาวบ้านขับรถไปส่งยังที่ที่พวกเขาต้องการ พวกเขาไม่สนว่าไฟหน้ารถใช้ได้หรือเปล่า บางทีเราต้องขับไปส่งพวกเขาทั้งคืน หากมีใครปฏิเสธก็จะถูกทำร้ายร่างกาย ส่วนผมไม่เคยปฏิเสธพวกเขา ผมมักขับรถไปส่งพวกเขา เพราะไม่อยากถูกทำร้าย เพราะถ้าทหารปะหล่อง TNLA ทำร้าย พวกเขาจะทำร้ายอย่างหนัก แต่ทางทหารไทใหญ่ RCSS/SSA จะไม่บังคับให้ไปส่งหากไฟหน้ารถเสีย” นายจายซันเอ ยังกล่าวหาว่าทั้งสองกลุ่มต่างก็ปฏบัติไม่เหมาะสมต่อพลเรือน
นายจายซันเอ ซึ่งอยู่ที่ศูนย์พักพิงสำหรับผู้พลัดถิ่นภายในมาเป็นเวลา 7 เดือนแล้ว ระบุว่า เขาไม่สามารถหางานได้ ในขณะเดียวกันก็ไม่สามารถกลับบ้านได้ เพราะทหารปะหล่อง TNLA ยังอยู่ที่หมู่บ้านของเขา เช่นเดียวกันทหารพม่าก็วางกำหลังรอบๆหมู่บ้าน จึงไม่ปลอดภัยที่จะกลับบ้านในตอนนี้ สิ่งที่เขาแสดงความกังวลก็คือ อาจต้องเผชิญกับการขาดแคลนอาหาร เพราะในตอนนี้อาหารเริ่มไม่เพียงพอต่อจำนวนผู้พลัดถิ่นภายใน ขณะที่ความช่วยเหลือเริ่มมาไม่ถึงค่ายผู้พลัดถิ่นภายในแห่งนี้แล้ว
ก่อนหน้านี้ นายจายซันเอ เป็นเกษตรกรที่ปลูกถั่ว ข้าวโพดและข้าว แต่ตอนนี้เขาระบุว่า เขาไม่เหลืออะไรแล้วและที่ศูนย์พักพิงชั่วคราวสำหรับผู้พลัดถิ่นภายในก็ไม่มีพื้นที่สำหรับปลูกผัก “หากอาหาร (ที่ได้รับบริจาค) มา หมด พวกเรายังไม่รู้จะทำอย่างไรต่อไป” นายจายซันเอกล่าว
ที่มา Irrawaddy
แปลและเรียบเรียงโดย สำนักข่าวชายขอบ