
เมื่อวันที่ 28 มีนาคม ที่อาคารเฉลิมราชกุมารี 60 พรรษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ดร.ประภาส ปิ่นตบแต่ง ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยสังคมจุฬาฯ กล่าวเปิดเวทีการประชุมเรื่อง “การนำเสนอและทบทวนสถานการสิทธิในที่ดินและป่าไม้และการเข้าถึงความยุติธรรม” ว่า ปัญหาเรื่องที่ดินและป่าไม้เป็นปัญหาใหญ่มาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องความพยายามของรัฐบาลในการทวงคืนพื้นที่ป่าช่วงปี 2557 ที่ส่งผลให้เกิดปัญหาขัดแย้งทางทรัพยากรที่ดินและป่าไม้อย่างมาก ซึ่งหากจะทบทวนไปแล้วสถานการณ์ปัจจุบันตอนนี้ไม่ว่าจะเรื่องที่ชาวบ้านถูกดำเนินคดีคล้ายกับสถานการณ์ให้สัมปทานในอดีตและคล้ายกับสถานการณ์การประกาศเขตพื้นที่ป่า จนส่งผลให้ชาวบ้านต้องอพยพ ย้ายถิ่นฐาน ต่อมาก็เป็นยุคทองของพืชเชิงเดี่ยวและพืชเศรษฐกิจที่รัฐร่วมกับเอกชนพยายามส่งเสริมการปลูกสร้างรายได้ เช่น ยูคาลิปตัส ซึ่งสิ่งเหล่านี้ก็ล้วนส่งผลในการลดพื้นที่ป่าและที่ดินที่เคยทำกินดั้งเดิมทั้งสิ้น แต่ต่อมารัฐกลับคิดได้ว่าต้องการป่าคืนก็มาจัดระบบใหม่ ส่งผลให้เกิดผลกระทบทั่วประเทศ ชาวบ้านจำเป็นต้องลุกมาต่อสู้กับกฎหมายในพื้นฐานความรู้ที่จำกัด บางคนก็ได้รับความยุติธรรม บางคนก็ไม่ได้รับ จึงคิดว่าเมื่อสถานการณ์เกิดขึ้นรุนแรงขึ้นชาวบ้านถึงเวลาต้องลุกมาตั้งคำถาม และทบทวนสถานการณ์อย่างจริงจัง
“สิทธิของชุมชน กระบวนการพิสูจน์สิทธิ์แบบมีส่วนร่วม อะไรพวกนี้เราต้องทำไปพร้อม ๆ กัน เรื่องที่ชุมชนเข้าไปอยู่ในเขตป่านั้น ต้องมองบริบทความเหมาะสมด้วย ดูว่าชาวบ้านอยู่มาก่อนมานานแค่ไหน แล้วเมื่อเขาต่อสู้เรียกร้อง มีใครฟังบ้างไหม เราต้องเปิดเวทีคุยกัน” ดร.ประภาสกล่าว
นางพรภินันท์ โชติวิริยะนนท์ ตัวแทนกลุ่มคนแม่สอดรักษ์ถิ่น ตำบลท่าสายลวด อำเภอแม่สอด จังตาก หนึ่งในสมาชิกพีมูฟ กล่าวว่า เรื่องสิทธิที่ดินนั้นไม่ใช่แค่การทวงป่าทวงที่ดินจากคนเล็กคนน้อยเท่านั้นที่เกิดขึ้นในยุคนี้ แต่สิทธิพลเมืองไทย สิทธิชาติพันธุ์ และสิทธิคนจน ยังถูกกดขี่ด้วยนโยบายใหม่คือ เรื่องเศรษฐกิจพิเศษ ที่ขณะนี้กรมธนารักษ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพยายามจะแปลงสิทธิที่ดินซึ่งเป็นพื้นที่ทำกินของชาวบ้าน ซึ่งส่วนมากเป็นเกษตรกรให้กลายเป็นพื้นที่อุตสาหกรรม ซึ่งทางกลุ่มแม่สอดรักษ์ถิ่นอยู่ระหว่างการฟ้องร้องกรมธนารักษ์และผู้เกี่ยวข้องเพื่อให้รับผิดชอบ

“ปากรัฐก็บอกว่าทวงที่ดินเพื่อเพิ่มป่า แต่พื้นที่ป่า โดยทวงสิทธิที่ทำกินของประชาชนไปเป็นของรัฐ ทั้งพื้นที่เกษตร พื้นที่สีเขียว ไปแปลงเป็นสิทธิให้เอกชนลงทุน โดยผ่านคำสั่งที่ 17/2558 ตามมาตรา 44 ซึ่งมีแผนจะยึดป่ากว่า 2,000 ไร่ โดยรัฐพยายามจะเพิกถอนป่าสงวนแล้วปล่อยเอกชนเช่า ส่วนนี้ก็จัดเป็นความเหลื่อมล้ำที่ทำให้ชาวบ้านต้องเดินหน้ามาชุมนุมเพื่อทวงสิทธิความยุติธรรมกลับคืน” นางพรภินันท์ กล่าว
นายจำนงค์ หนูพันธุ์ ตัวแทนเครือข่ายสลัมสี่ภาค กล่าวว่า ไม่ใช่แค่พี่น้องในชนบทเท่านั้นที่ได้รับความเดือดร้อนเรื่องการจำกัดสิทธิการใช้ทรัพยากร แต่ยังมีคนจนเมืองด้วยที่ได้รับความเดือดร้อนจากโครงการพัฒนาขนาดใหญ่ด้วย อย่างเช่น กรณีสลัมบางปิ้ง ชาวบ้านเช่าอยู่อาศัยมานานนับร้อยปี แต่พอโครงการรถไฟฟ้าผ่านเข้ามาชาวบ้านต้องย้ายออก แม้จะพยายามเสนอแนะทางออกในการจัดการตนเองของชุมชนเพื่อปรับตัวอยู่ในเมืองใหญ่ในช่วงของการพัฒนาก็ตามแต่ทางรัฐบาลก็ไม่ฟัง จึงต้องรวมตัวกับพีมูฟเข้ามาเสนอประเด็นให้ผู้ปกครองทราบ แต่ปัญหาตอนนี้คือ ภายหลังจากพีมูฟประกาศเดินทางเข้ากรุงมานั้น ฝ่ายความมั่นคงก็ทำหน้าที่สกัดแทบทุกจังหวัด ไม่แน่ใจว่ารัฐบาลต้องการอะไร แต่ทางภาคประชาชนยืนยันเช่นเดิมว่าไม่ได้มาเพราะการเมือง มาเพราะต้องการเจรจาเรื่องสิทธิ ซึ่งสิทธิคนจนเมืองนั้นจำเป็นต้องคุยกันจริงจัง เนื่องจากคนจนมีอยู่ทุกมุมเมือง หากไม่มีนโยบายที่เหมาะสมแล้วปัญหาคนจนเมืองจะแผ่กว้างขึ้น
ขณะที่นายบุญ แซ่จุ่ง ที่ปรึกษาขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม ขปส. หรือ พีมูฟ กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีได้แต่งตั้งคณะกรรมการแก้ไขปัญหาของพีมูฟ แต่ไม่ได้ประชุมมาเป็นเวลานานแล้ว ทำให้ปัญหาที่ดินของคนจนค้างคาเป็นเวลานาน ได้รับความเดือดร้อนเป็นจำนวนมาก หลังจากประธานคณะกรรมการคนก่อนพ้นจากตำแหน่ง นายกรัฐมนตรีได้ลงนามแต่งตั้งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีคนใหม่ เป็นประธาน แต่ยังไม่มีท่าทีว่าจะมีการประชุม พีมูฟเลยจำเป็นต้องขับเคลื่อนให้มีการประชุม
“ตอนนี้ได้นัดหมายกับสำนักนายกรัฐมนตรีว่าจะประชุมในวันที่ 30 มีนาคม 2560 โดยจะมีผู้เดือดร้อนจาก 25 จังหวัด มานำเสนอกับรัฐมนตรีด้วยตนเอง ประมาณ 200 คน แต่เราถูกฝ่ายความมั่นคงกล่าวหาว่าเป็นผู้ชุมนุมทางการเมือง มีเจ้าหน้าที่ทหาร กอ.รมน. สันติบาล มาติดตามสมาชิกในหลายจังหวัด โดยมาหา มาเฝ้าที่บ้าน บางหน่วยบอกว่าจะมีการสกัดไม่ให้พี่น้องเดินทางมาติดตามการประชุมกับรัฐมนตรี ขอบคุณที่ส่งเจ้าหน้าที่มาหาพี่น้องที่เดือดร้อน จะได้มีโอกาสนำข้อมูลไปเสนอนายกรัฐมนตรีอีกทาง แต่ขอให้มีท่าทีที่ดีกับพวกเรา อย่าทำให้พี่น้องตกใจ ขอให้ทำความเข้าใจใหม่ว่าพี่น้องพีมูฟเป็นเกษตรกร ไม่ได้อยากแย่งชิงอำนาจจากใคร ไม่ได้อยากเป็นรัฐมนตรี ไม่ใช่ผู้ชุมนุมทางการเมือง ขอให้แก้ไขปัญหาของประชาชนคนจนด้วย รัฐบาลแถลงว่าจะลดความเหลื่อมล้ำ รับเป้าหมายแนวทางการพัฒนาที่ยั่งยืนจากสหประชาชาติมาก็ขอให้ดำเนินการอย่างเร่งด่วน ขอให้พี่น้องที่เดือดร้อนได้มาประชุมกับรัฐมนตรีเพื่อหาทางแก้ไขปัญหาต่อไป” นายบุญ กล่าว
ด้านนายสุมิตรชัย หัตถสาร ผู้อำนวยการศูนย์พิทักษ์และฟื้นฟูสิทธิชุมชนท้องถิ่น กล่าวว่า หากจะมองในแง่ของกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับสิทธิของประชาชนในด้านการเข้าถึงทรัพยากรที่ดินและป่าไม้นั้น ยอมรับว่ามีความไม่แน่นอนสูง และส่วนตัวมอง ควรหาทางป้องกันไม่ให้คนกลุ่มดังกล่าวตกเป็นเหยื่อกระบวนการยุติธรรมจะง่ายกว่า เช่น วิถีชีวิตของคนกับป่าของกะเหรี่ยงนั้นสังคมภายนอกรับรู้น้อยมาก อย่างเรื่องไร่หมุนเวียนเชื่อหรือไม่ว่าหลายคนมองว่าไร่หมุนเวียนคือไร่เลื่อนลอยอยู่ อย่างกรณีไม่กี่วันมานี้ที่ ศาลฎีกาตัดสิน 2 ชาวกะเหรี่ยงบ้านแม่อมกิ จังหวัดตากนั้นมีชายหญิงคู่หนึ่งคือ นางน่อเฮมุ้ยหรือหน่อเฮหมุ่ย เวียงวิชชา และนายดิแปะโปหรือดิ๊แปะโพ ถูกดำเนินคดีในข้อหาบุกรุกป่าสงวนแห่งชาติ ถูกเจ้าหน้าที่จับกุมเมื่อปี 2551 และส่งฟ้องถูกลงโทษจำคุก9ปี เนื่องจากบุกรุกเขตป่าสงวน ทั้งที่ทั้งสองคนทำกินในไร่หมุนเวียนที่เดิมที่เคยทำ ต่อมาได้สู้คดีมาตั้งแต่ศาลชั้นต้นมาถึงศาลฎีกาแล้วเชื่อหรือไม่ว่า ศาลยังมองว่าไร่หมุนเวียนคือไร่เลือนลอย และระบุในสำนวนว่า กะเหรี่ยงทั้งสองไม่ผิดฐานบุกรุกป่าสงวน แต่ขาดเจตนา ยอมรับจำเลยอยู่ตั้งถิ่นฐานอยู่แต่รุ่นบรรพบุรุษ ก่อนประกาศเขตป่าสงวน แต่ยืนยันให้ออกจากพื้นที่และริบของกลาง เพราะรัฐประกาศเขตป่าสงวนแล้ว โดยคดีดังกล่าวมีการรื้อฟื้นคดีใหม่หลังจำเลยรับสารภาพในศาลชั้นต้นทั้งที่ไม่รู้ภาษาไทย ไม่มีทนาย และล่าม ทำให้กระบวนพิจารณาคดีไม่ชอบด้วยกฎหมาย
โดยศาลฎีกามีคำพิพากษาสรุปความได้ว่า จำเลยทั้งสองไม่มีความผิด เพราะขาดเจตนาบุกรุก เนื่องจากเป็นคนดั้งเดิมอยู่อาศัยทำกินมาก่อนประกาศเขตป่าสงวน แต่อย่างไรก็ดี ศาลฎีกายังคงยืนยันให้จำเลยทั้งสองและบริวารต้องออกจากพื้นที่ เพราะทำไร่หมุนเวียนเพื่อเลี้ยงชีพ ในชุมชนบ้านแม่อมกิ ตำบลแม่ว่าหลวง อำเภอท่าสองยาง จังหวัดตาก แต่ทำในพื้นที่ป่า จึงมีความผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ.2484 และความผิดต่อพระราชบัญญัติป่าสงวน พ.ศ.2507
“คำพิพากษาของศาลฎีกาที่ออกมาถือว่าเป็นผลดีที่ศาลยกฟ้องทั้ง 2 กรณี แต่อย่างไรก็ตามคำสั่งให้จำเลยและบริวารออกจากพื้นที่ยังคงเป็นปัญหา เนื่องจากเหมือนว่าศาลยอมรับในวิถีชุมชนและเจตนาของจำเลยทั้งสองก็จริง แต่ยังคงให้จำเลยทั้งสองออกจากพื้นที่อยู่ดี แม้ผลของคดีจะเป็นเฉพาะตัวบุคคลแต่ประเด็นนี้ก็เป็นที่น่าเป็นห่วงคือชุมชนที่อยู่ทั้งหมดในพื้นที่จะมีปัญหาใดๆในภายภาคหน้าหรือไม่ ซึ่งอาจจะมีผลตามมาภายหลังก็ได้ กรณีนี้ยังต้องประเมินกันต่อไป ซึ่งคดีลักษณะนี้เป็นเรื่องน่าสนใจว่า หากคนกลุ่มนี้ที่มีสถานะภาษาไม่ดี อาชีพ ฐานะทางการเงินก็คือพอประมาณ พอเพียง แต่เพราะกฎหมายมาทีหลังทำให้พวกเขากลายเป็นจำเลย ซึ่งจะเห็นว่ากว่าจะต่อสู่มาได้ก็ใช้เวลาหลายปี ผมจึงมองว่าเรื่องที่ดินและที่ทำกินถ้ามีโอกาสปกป้องต้องรับทำ อย่ารอให้มีการฟ้องร้องเพราะจะสู้ยาก” นายสุมิตรชัย กล่าว



