ระหว่างวันที่ 3-4 มิถุนายน 2560 สื่อมวลชนจากหลายสำนัก รวมทั้งนักวิชาการ ผู้ทรงคุณวุฒิ ผู้ใหญ่บ้าน และชาวบ้านห้วยลึก อำเภอเวียงแก่น อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย ร่วมกันล่องเรือสำรวจแม่น้ำโขงจากอำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย ถึงเมืองปากแบง แขวงอุดมไชย สปป.ลาว ซึ่งบริเวณดังกล่าวมีโครงการสร้างเขื่อนปากแบง โดยมีบริษัทต้าถัง อินเตอเนชั่นแนล กรุ๊ป ของจีน เป็นผู้ได้รับสัมปทาน ขณะเดียวกันแม่น้ำโขงในช่วงตั้งแต่สามเหลี่ยมทองคำจนถึงหลวงพระบางยังเป็นพื้นที่ที่อยู่ในโครงการระเบิดแม่น้ำโขง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการสอบถามชาวบ้านริมแม่น้ำโขงในลาวที่อยู่ในหมู่บ้านที่จะถูกน้ำท่วมหากมีการสร้างเขื่อนปากแบงเสร็จสิ้น ปรากฎว่าส่วนใหญ่ยังไม่ทราบข้อมูลใดๆเพราะไม่มีใครชี้แจงให้ทราบ ขณะที่บริษัทได้รับสัมปทานได้เริ่มก่อสร้างถนนเลาะภูเขาไปยังจุดที่สร้างเขื่อนแล้ว
ทั้งนี้ภายหลังการลงพื้นที่แล้วเสร็จ ชาวบ้านและผู้ทรงคุณวุฒิได้ร่วมแลกเปลี่ยนข้อมูลและสรุปสถานการณ์โดย นายพรสวรรค์ บุญทัน ประธานสภาเทศบาลตำบลม่วงยาย อำเภอเวียงแก่น กล่าวว่า การลงพื้นที่ครั้งนี้ทำให้คิดถึงโครงการที่จะส่งผลกระทบต่อแม่น้ำโขง 2 โครงการ คือ การระเบิดแก่งน้ำโขงและสร้างเขื่อนปากแบง โดยเรื่องระเบิดแก่งนั้นทางผู้ดำเนินโครงการส่งเรือมาสำรวจเกาะแก่งหลายครั้งแล้ว และชาวบ้านหลายพื้นที่ก็แสดงความกังวลมาตลอด จนปัจจุบันนี้ไม่รู้ว่าจะระเบิดหรือไม่ แต่ส่วนตัวคิดว่าไม่ควรจะระเบิด เพราะตอนนี้เรือของชาวบ้าน เรือประมง เรือท่องเที่ยวก็แล่นได้สบายอยู่แล้ว ส่วนเรื่องเขื่อนปากแบงมีความกังวลหลายอย่าง เดิมที่รับรู้คือ สร้างเขื่อนปากแบงนั้นน้ำอาจจะท่วมถึงผาไดที่อำเภอเวียงแก่น ชาวบ้านส่วนมากที่ฝั่งไทยก็ไม่เห็นด้วยเพราะมีอาชีพหาปลา ทำเกษตรกรรมกันมากมาย แต่พอมาเห็นหมู่บ้านนี้ได้คุยกับพี่น้องฝั่งลาว บางส่วนเห็นด้วย บางส่วนไม่เห็นด้วย แต่ไม่มีใครรู้ว่าได้อะไร เสียอะไรบ้าง
นายทองสุข อินทะวงศ์ ผู้ใหญ่บ้านห้วยลึก ตำบลม่วงยาย อำเภอเวียงแก่น กล่าวว่า จากการร่วมแลกเปลี่ยน พูดคุยกับกรมทรัพยากรน้ำต่อเรื่องการสร้างเขื่อนปากแบงมาเมื่อไม่นานมานี้ ยังไม่รู้เลยว่าระดับการกักเก็บน้ำของเขื่อนอยู่ที่ระดับใด มีข้อมูลอีกมากมายที่ชาวบ้านไม่รู้ อีกตัวอย่าง คือ เรื่องบันไดปลา ที่ทางผู้ดำเนินการบอกว่า สร้างให้ปลาสามารถผ่านไปได้ ตามความรู้ในฐานะเคยทำประมงนั้นน้ำเชี่ยวในแม่น้ำโขงจะสร้างทางปลาผ่านอย่างไร
“ผมได้คุยกับชาวบ้านทางลาวบางคนเล่าให้ฟังถึงเรื่องถูกย้ายหมู่บ้าน ยังไม่รู้ถูกย้ายเมื่อไหร่ ย้ายกี่บ้าน แต่ก็กังวลพอสมควร เพราะบางครอบครัวมีที่ทำกินใกล้กับบ้านที่อาศัยอยู่ ไม่อยากย้าย แต่ว่าเขาไม่มีสิทธิ์เลือก ถ้าทางการให้ย้ายก็ต้องย้าย บางคนรู้ข้อมูล บ้างไม่รู้ คือรู้ไม่หมด ไม่ครบก็มี แต่จะออกมาต้านเขื่อนก็ทำไม่ได้” นายทองสุข กล่าว
นายทองสุข กล่าวต่อว่า หลายชุมชนของพี่น้องลาวริมแม่น้ำโขงนั้น มีถิ่นที่อยู่อาศัยไม่คงทน อาศัยอาชีพหาปลาเลี้ยงตนเองและครอบครัว อย่างบ้านลวงโต้งนี้ ถึงมีการตั้งหมู่บ้านมานานนับร้อยปี แต่บางคนมีบ้านถาวร บางคนไม่มียังไป-มาระหว่างชุมชนอื่นอีกหลายครั้ง ถ้าเกิดวันหนึ่งชาวบ้านต้องย้ายที่อยู่ ไม่แน่ใจว่าทางการจะจัดการและประเมินการเยียวยาอย่างไร หากต้องย้ายจะชดเชยอย่างไรบ้าง แล้วถ้าการย้ายมีการชดเชยไม่เพียงพอ จะเกิดปัญหาด้านอื่นเช่น ต้องไปรับจ้างต่างบ้านต่างเมืองจะทำอย่างไร เพราะอาชีพที่เคยทำได้รับผลกระทบ
นายหาญณรงค์ เยาวเลิศ อนุกรรมการสิทธิด้านสิทธิชุมชนและฐานทรัพยากร ในคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) กล่าวว่า จากการตั้งข้อสังเกต การนำเสนอข้อมูลของกรมทรัพยากรน้ำที่แปลออกมานั้นไม่ครบถ้วน ขาดเอกสารหลายอย่าง เช่น โครงสร้างเขื่อน เรื่องข้อมูลระดับน้ำ แผนหรือมาตรการลดผลกระทบภายหลังการก่อสร้างแล้วเสร็จ ทำให้กังวลว่าอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบโครงสร้างเหมือนเขื่อนไซยะบุรี ที่เขียนในเอกสารอย่างหนึ่ง พอลงมือทำก็อีกอย่าง และอาจจะเปลี่ยนแปลงข้อมูลอีกหลายส่วนภายหลัง เนื่องจากพบว่า หลายเวทีรับฟังความคิดเห็นนั้นทางผู้ดำเนินการไม่มีการบรรจุความเห็นและการคัดค้านของชาวบ้านไว้เลย ส่วนกระบวนการปรึกษาหารือล่วงหน้า (PNPCA) ร่วมกัน 6 ประเทศ ทั้งที่หลวงพระบาง เวียงจันท์ ก็พูดถึงเทคนิคอย่างเดียว และไม่ว่าชาวบ้านฝั่งไทยจะค้านอย่างไร คิดว่าถ้าหน่วยงานภาครัฐไม่ออกตัวพูดถึงข้อกังวลในระดับประเทศ ทางการลาวก็เดินหน้าสร้างอยู่ดี สรุปปัจจุบันนี้คือ ชาวบ้านกังวลและตั้งคำถามไปด้านเดียว ไม่เคยได้รับคำตอบจากอีกฝ่าย
“เรื่องรายงานผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม และผลกระทบด้านอื่นๆ อย่างรายได้หลักที่มาจากการท่องเที่ยว เอาง่ายๆเลยนะ แค่รายงานจำนวนนักท่องเที่ยวจากแขวงบ่อแก้ว ถึงหลวงพระบาง เส้นทางแค่นี้ที่คนสัญจรไปมา ใครบ้างสามารถบอกได้ว่า จำนวนเรือท่องเที่ยว จำนวนนักท่องเที่ยวเท่าไหร่บ้าง ดังนั้นแบบรายงานผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมต้องมีความชัดเจนและให้ข้อมูลรอบด้าน ดังนั้นส่วนตรงนี้ผมอยากเสนอว่าให้มีการจัดการในภาพรวม ทั้งในเรื่องกระบวนการรับฟังความคิดเห็นมาตรการอื่นๆที่เกี่ยวข้อง เช่น แนวทางการบริหารเขื่อน เงื่อนไจเวลาเปิด ปิด หากมีผลกระทบตามมาภายหลัง
ดร.สมนึก จงมีวศิน อาจารย์ประจำวิทยาลัยนานาชาติ มหาวิทยาลัยศิลปากร และนักวิชาการด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ กล่าวว่า จากการศึกษารายงานเกี่ยวกับเขื่อนปากแบงและลงพื้นที่รับฟังข้อมูลจากชาวบ้านที่อาจจะได้รับผลกระทบ ตั้งข้อสังเกตว่า วัตถุประสงค์ของโครงการขัดแย้งกับข้อเท็จจริงหลายประการ อย่างกรณีที่บอกว่าเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชนให้ดีขึ้น เช่น มีถนน มีไฟฟ้า นั้นก็ไม่ใช่ เพราะถนนเกิดขึ้นเพื่ออำนวยความสะดวกแก่โครงการเองเท่านั้น ส่วนเรื่องไฟก็ได้ประโยชน์แค่ส่วนคนที่อยู่หน้าเขื่อนเท่านั้น อีกอย่างเรื่องการที่ผู้ดำเนินการระบุว่าจะมีเม็ดเงินรายได้ที่มาจากโครงการนั้นก็ไม่ได้เป็นจำนวนมากมายมหาศาล เพราะกำลังไฟแค่ 800 เมกะวัตต์ อีกทั้งมีผลกระทบตามมามากมาย
ดร.สมนึก กล่าวด้วยว่า เรื่องแนวทางการสร้าง ship lock หรือทางเรือผ่าน ที่ระบุมาในรายงานนั้นบอกว่า มี 2 ship lock ความยาว 120 เมตร กว้าง 12 เมตร ลึก 4 เมตร นั้นไม่ได้บอกชัดว่า สุดท้ายแล้วเรือผ่านได้กี่ลำ ถ้าผ่านได้ทีละลำจะต้องเสียเวลาต่อคิวเข้า-ออก ไม่รู้ว่าจะมีอุปสรรคตามมาอย่างไรบ้าง แล้วจะต้องมีค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง เช่น ค่าขนส่งสินค้า ค่าผ่าน ship lock
“ที่ผมสังเกตชัดอีกด้าน คือ เรื่องเอกสารหลายอย่าง ที่ไม่พบในรายงาน เช่น เอกสารผลกระทบข้ามพรมแดน เอกสาร รายละเอียด EIA, แผนการจัดการสิ่งแวดล้อม, จำนวนประชากร จำนวนหมู่บ้านการย้าย, เอกสารผลกระทบจากเขื่อนโดยตรง ขนาดว่าเราพยายามศึกษามาแล้วยังไม่เจอเลย แล้วชาวบ้านจะไปตามข้อมูลพวกนี้ที่ไหน ” ดร.สมนึกกล่าว
นักวิชาการผู้นี้กล่าวด้วยว่า อีกอย่างที่เห็นได้ชัด คือ กระบวนการดำเนินงานของโครงการเขื่อนปากแบงนั้นขัดต่อข้อตกลง คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (MRC) ข้อที่ว่า การคุ้มครองสภาพแวดล้อมและความสมบูรณ์ทางนิเวศวิทยาฯ นั้นไม่มีจริง เอกสารประกอบไม่เพียงพอ แล้วจะทำกระบวนการ PNPCA ไปทำไม ทำเพื่ออะไร เพราะการเปิดเผยข้อมูลไม่เพียงพอ กระบวนการนี้ควรทำเมื่อทางผู้ดำเนินการนั้นรอบด้าน คำถามคือ ถ้าให้ไม่ครบถ้วนแบบนี้ มันขัดต่อข้อตกลง MRC หรือไม่ ผิดหรือเปล่า คิดว่าโครงการระเบิดแก่งน้ำโขงกับเขื่อน มองแยกกันไม่ได้นะครับ ต้องพิจารณาไปพร้อม ๆ กัน คือ มีบางอย่างแอบแฝงอยู่ และผู้ดำเนินการไม่เปิดเผยข้อมูลอย่างครบถ้วน
รายงานข่าวแจ้งว่า เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2560 กรมประมงได้ส่งหนังสือตอบกลับถึงประธานกลุ่มรักษ์เชียงของ ที่ทางกลุ่มเคยขอความคิดเห็นเกี่ยวกับโครงการเขื่อนปากแบง เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2560 เพื่อแสดงความไม่เห็นด้วยกับโครงการฯ
โดยใจความในหนังสือระบุโดยสรุปว่า ทางกรมประมงขอชี้เเจงความคิดเห็นต่อกรณีผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นจากโครงการก่อสร้างเขื่อนไฟฟ้าพลังน้ำปากแบง หลังได้พิจารณารายงานการศึกษาผลกระทบสิ่งเเวดล้อมด้านประมงของโครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนปากแบงของบริษัท Kunming Engineering corporation limited จากสำนักเลขาธิการคณะกรรมการเเม่น้ำโขงเเห่งชาติไทย กรมทรัพยากรน้ำ ภายใต้ขบวนการให้ข้อมูล การปรึกษาหารือล่วงหน้าเเละข้อตกลง PNPCA เห็นว่า การศึกษาผลกระทบของโครงการด้านทรัพยากรประมงยังไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร ขาดความสมบูรณ์ เเละไม่ครอบคลุมพื้นที่ที่จะได้รับผลกระทบจากโครงการทั้งหมด เช่น 1.จุดเก็บตัวอย่างที่ดำเนินการเก็บตัวอย่างทางด้านประมงมีจำนวนน้อยเเละไม่ครอบคลุมพื้นที่ในลำน้ำเเละรูปแบบเเหล่งอาศัยสัตว์น้ำที่จะได้รับผลกระทบ ทำให้ผลการศึกษาไม่สะท้อนข้อมูลที่จะได้รับผลกระทบจริงทั้งหมด
2.ช่วงระยะเวลาที่เก็บตัวอย่างภาคสนามจำนวน 2 ครั้งในช่วงเดือนมกราคมเเละเดือนกรกฎาคม 2554 ไม่ครอบคลุมการเปลี่ยนเเปลงที่เกิดขึ้นตามฤดูกาลในรอบปีทั้งหมด ส่งผลให้จำนวนพันธุ์ปลาที่พบจากการศึกษามีจำนวนน้อยมาก เมื่อเทียบกับผลการศึกษาของผู้วิจัยอื่นที่ดำเนินการในพื้นที่เดียวกัน
3.วิธีการสุ่มตัวอย่างในด้านการประมงในภาคสนามยังไม่เป็นวิธีการที่เป็นมาตรฐานสากล ซึ่งทำการสุ่มตัวอย่างด้วยเครื่องมืออวนทับตลิ่งที่มีพื้นที่ขนาดเล็กมาก จึงไม่เป็นตัวแทนที่ดีพอและไม่สามารถสะท้อนให้เห็นความชุกชุมของประชากรปลาที่มีอยู่จริง
4.ไม่มีการประเมินผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับกลุ่มชาวประมงอาชีพในบริเวณพื้นที่เหนือเขื่อน โดยเฉพาะในส่วนของประเทศไทยตั้งแต่พื้นที่แก่งผาได อำเภอเวียงแก่น จนถึงบ้านปากอิง ตำบลศรีดอนชัย อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย
ทั้งนี้ในวันที่ 8 มิถุนายนนี้ ชาวบ้านริมแม่น้ำโขงจะฟ้องศาลปกครองเพื่อดำเนินคดีกับหน่วยงานภาครัฐของประเทศไทยที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ปฏิบัติตามกฏหมายกรณีที่ปล่อยให้มีการสร้างเขื่อนปากแบงโดยไม่คำนึงถึงผลกระทบต่อชาวบ้าน โดยการฟ้องคดีครั้งนี้จะเป็นคดีข้ามพรมแดนคดีที่ 2 รองจากการฟ้องศาลปกครองในคดีการสร้างเขื่อนไซยะบุรี สปป.ลาว ที่ชาวบ้านฟ้องหน่วยงานรัฐซึ้งทำโครงการอันส่งผลกระทบข้ามพรมแดน