วันนี้ (10 มิถุนายน 2560) ใครที่เดินเข้างาน “Happy Death day” หรือ “งานที่จะเปลี่ยนวันตายให้กลายเป็นวันสุข” ที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ คงได้อมยิ้มหากเหลือบไปเห็นที่ห้องประชุมติดๆกันกำลังจัดงาน “Wedding Fair”
ฝั่งหนึ่งมีทั้งโลงศพ กรอบรูปงานศพและนิทรรศการการเตรียมตัวตาย แต่อีกฝั่งหนึ่งเต็มไปด้วยชุดเจ้าสาวเจ้าบ่าวหลากหลายสีสันแข่งขันกันสุดอลังการ
ฝั่งหนึ่งผู้ร่วมงานที่มากันอย่างเนืองแน่นหลายพันคนส่วนใหญ่เป็นคนเฒ่าคนแก่ สวมชุดขาวบ้าง ดำบ้าง แต่อีกฝั่งหนึ่งเป็นคนหนุ่มสาวสีสันสดใส
แม้ดูธีมเรื่องจะเป็นคนละอารมณ์กัน แต่ที่เหมือนกันคือเรื่องการเตรียม “ความพร้อม”
ความพร้อมที่เป็นหัวใจหลักของการจัดงาน Happy Death day คือการเตรียมตัวพร้อมที่จะตาย โดยพระอาจารย์ไพศาล วิสาโล ได้ปาฐกถาเปิดงานเรื่อง “เปลี่ยนความตายให้เป็นความสุข”ซึ่งสรุปความบางตอนว่า ในความตายเป็นโอกาสแห่งความสุขด้วย แต่เนื่องจากผู้ที่มีทุกข์มักมีความกลัวเป็นพื้นฐาน แต่ถ้าใครเข้าใจดีพอก็พบว่าความตายไม่น่ากลัว เราสังเกตหรือไม่ หากเราเกลียด โกรธ ทำให้เราเป็นทุกข์ รถติดทำให้ใจเราเป็นทุข์เพราะเราไม่ชอบและรู้สึกลบกับเหตุการณ์ดังกล่าว ความทุกข์ใจเกิดจากปฎิกริยาต่อสิ่งนั้น รวมทั้งเสียงวิพากษ์วิจารณ์ สมัยนี้แม้แต่ไม่กดไลค์ก็ทุกข์แล้ว เราไม่ขอบเพราะรู้สึกลบ แต่ถ้ามองเป็นบวกเราก็ไม่ทุกข์
“ความตายไม่ใช่เหตุผลให้เราทุกข์ แต่ความกลัวทำให้รู้สึกลบ ความตายไม่ทำให้ทุกข์ใจได้เลยหากเปลี่ยนความกลัวตายเป็นความพร้อมตาย อย่างที่มีคนถามอาจารย์ประมวล เพ็งจันทร์ ว่าตายดีคืออะไร ท่านตอบดีมากว่าเป็นความเต็มใจที่จะตาย เมื่อเราพร้อมตายคือเราไม่รังเกียจหรือผลักไสความตาย มีเหตุผลมากมายที่ทำให้หลายคนพร้อมตาย นั่นคือเห็นว่าความตายมีประโยชน์ ความตายมีโอกาสทำให้บรรลุธรรม เหมือนที่อาจารย์พุทธทาสบอกว่าเป็นนาทีทองของชีวิต เป็นการแสดงธรรมให้เราเห็นว่าชีวิตไม่เที่ยง หลายท่านเปิดใจน้อมรับสัจจธรรมดังกล่าวจนเกิดปัญญา จิตหลุดพ้นเป็นพระอรหันต์ ในภาวะที่ความทุกข์กายเกิดขึ้น ท่านได้เห็นสัจจธรรมและจิตเลยหลุดพ้น เพราะฉะนั้นความตายจึงเป็นนาทีทอง หลุดพ้นจากความทุกข์ ความตายโดยความทุกข์สามารถเป็นแรงผลักให้เคลื่อนออกจากทุกข์ได้ หลายคนมองว่าความตายเป็นโอกาสได้ปลดวางภาระเสียที เวลาทำงานหลายคนอยากให้เวลาเลิกงานมาถึงเร็ว ความตายก็เป็นเช่นนั้น คือเป็นเวลาจะได้วางภาระกิจการงานเสียที ความตายจึงไม่น่ากลัว และความตายอาจเป็นโอกาสได้รับรางวัล”
พระอาจารย์ไพศาลกล่าวว่า คนเราถ้ามีความพอใจและภูมิใจในสิ่งที่ทำมาก็พร้อมรับความตาย ส่วนคนที่ยังไม่ได้สัมผัสความดีต่างหากที่รู้สึกว่ายังตายไม่ได้ อีกเหตุผลหนึ่งที่คนจำนวนไม่น้อยพร้อมรับความตายได้คือ เขาไม่ได้ติดค้างคาใจใด ๆ เมื่อได้ทำหน้าที่ ทำความดี ทำภารกิจการงานจนหมด ที่สำคัญคือเขาเห็นความตายเป็นหน้าที่ก็เต็มใจทำหน้าที่นี้
“พ่อแม่เห็นว่าตัวเองมีหน้าที่ตายเพื่อเปิดโอกาสให้ลูกมาใช้ทรัพย์สมบัติ หากคนรุ่นก่อนไม่ตาย แล้วคนรุ่นหลังจะมีโอกาสอย่างคนรุ่นก่อนได้อย่างไร เราจะมีอาหารกิน มีสิ่งที่อำนวยความสะดวกได้อย่างไร ร่างกายเรามีเซลล์ที่ตายอยู่ตลอดเวลาเพื่อเปิดโอกาสให้เซลล์ใหม่ที่ดีกว่าเกิดขึ้น หากเรารู้ว่าความตายทำหน้าที่ เราก็ควรเตรียมตัวให้ดีที่สุด ถ้าเราทำหน้าที่นี้ดีพอ สิทธิการตายอย่างสงบจึงเป็นของเรา เพราะเมื่อเราทำหน้าที่ดีแล้วสิทธิการตายจึงเป็นของเรา”
พระอาจารย์ไพศาลกล่าวถึงการเตรียมตัวให้เราตายดีว่า การทำความดี การละความชั่วเป็นพื้นฐาน หลายคนกลัวตายเพราะชีวิตที่ผ่านมาย่ำแย่ เขามาได้คิดตอนใกล้ตาย นึกถึงบาปกรรมที่ทำไว้เพราะอยากแก้ตัว คนเหล่านี้จะไม่พร้อมตายและขอเวลา ดังนั้นหากเราทำดีและละชั่วทำให้เราพร้อมตายได้ หากเรายึดติดถือมั่นในสิ่งที่เป็นสุข เช่น คนรัก หรือความโกรธ ความเศร้า ความกลัว ทำให้ไม่สามารถตายได้อย่างสงบเพราะยังห่วง อาลัย มีความโกรธ พยาบาท หากเราไม่รู้จักปล่อยวาง การตายสงบก็ทำได้ยาก การเจริญมรณสติเป็นเรื่องสำคัญ แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้ไม่ได้ทำคือการผ่อนผัน และบอกว่าเดี๋ยว ๆ อยู่เรื่อย ๆ แต่การเจริญมรณสติจะบอกว่าให้เราต้องทำเดี๋ยวนี้ ไม่อยู่ในความประมาท เพราะสิ่งนี้กลายเป็นโศกนาฎกรรมของคนจำนวนมาก เนื่องจากปล่อยเวลาที่ควรจะทำแล้วไม่ได้ทำ เพราะคิดว่าพรุ่งนี้มีเวลา สุดท้ายเมื่อเวลานั้นมาถึงก็ผลัดผ่อนไม่ได้
“ตายดีหมายความว่าก่อนตายไม่ทุกข์ทรมาน การตายเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่การตายไม่ดีเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงได้ มีข้อมูลน่าสนใจว่า เดี๋ยวนี้คนตายแย่ลง แม้คุณภาพชีวิตดีขึ้น คือตายห่างไกลจากญาติพี่น้อง ก่อนตายเจอกระบวนการทางการแพทย์ที่เจ็บปวด ต้องอยู่ในห้องไอซียู คนอเมริกายิ่งรวยก็ยิ่งทุกข์ สาเหตุเกิดจากกระบวนการทางการแพทย์ที่สร้างความเจ็บปวดโดยไม่จำเป็น เช่น คนป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้ายได้รับเคมีบำบัด ทั้ง ๆ ที่ไม่จำเป็น และไม่สอบถามว่าคนไข้ต้องการอะไร กลายเป็นการสร้างปัญหาทางจิตใจ สภาพเช่นนี้ทำให้ตายดีได้ยาก นี่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในประเทศร่ำรวย และกำลังเกิดขึ้นในประเทศไทย ทุกวันนี้เราอยู่สบายแต่ตายลำบากมากขึ้น คือตายยากตายเย็น ใช้เวลานานกว่าจะตาย เจ็บนานกว่าเดิม อยู่สบายแต่ตายทรมาน ผิดกับคนสมัยก่อนที่ตายสบายกว่า ตายท่ามกลางคนรักและญาติพี่น้อง”
พระอาจารย์ไพศาลกล่าวว่า เราเลือกได้ที่จะอยู่สบายแล้วตายไม่ลำบาก คือกระบวนการทางการแพทย์ประคับประคอง อะไรที่ทำให้สภาพชีวิตแย่ลงก็ไม่ทำ การสนทนากับคนไข้เป็นสิ่งสำคัญมาก เช่น สิ่งที่อยากให้หมอทำ หรือสิ่งใดที่ไม่อยากให้หมอทำ ถ้าได้มีการสนทนากับผู้ป่วยจะทำให้ผู้ป่วยตายสงบมากกว่า ที่น่าแปลกคือ แม้การแพทย์แบบประคับประคองกลับมีชีวิตที่ยืนยาวกว่าผู้ป่วยที่ได้รับการยื้อชีวิต เพราะฉะนั้นหากเราต้องการตายดี ตายสงบ การรับบริการทางการแพทย์แบบไหนในระยะท้ายเป็นเรื่องสำคัญ เราต้องเตรียมตัวตั้งแต่ตอนนี้โดยการทำพินัยกรรม
ทั้งนี้งาน Happy Death day จะมีขึ้นในวันที่ 11 มิถุนายน อีก 1 วัน โดยมีนิทรรศการและวงเสวนาในหลายรายการ
////////////////