เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2560 นายปัญญา โตกทอง ตัวแทนเครือข่ายเกษตรกร 3 จังหวัด(สมุทรสงคราม ราชบุรี และเพชรบุรี) เปิดเผยถึงกรณีการระบาดของปลาหมอสีคางดำในแหล่งน้ำธรรมชาติ ที่กำลังส่งผลกระทบต่อเกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งและปลา หลังจากไม่มีความคืบหน้าถึงการแก้ปัญหาจากกรมประมง ชาวบ้านจึงรวมตัวไปยื่นหนังสือร้องเรียนต่อคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ(กสม.)ให้ตรวจสอบการอนุญาตนำปลาหมอสีคางดำเข้ามาเพาะเลี้ยงขยายพันธุ์และถูกปล่อยลงสู่แหล่งน้ำธรรมชาติ และเรียกร้องความรับผิดชอบจากกรมประมงและบริษัทเอกชนที่เกี่ยวข้อง
นายปัญญา กล่าวว่า เมื่อ 3 ปีก่อนชาวบ้านเริ่มพบการแพร่กระจายพันธุ์ของปลาหมอสีคางดำในแหล่งน้ำธรรมชาติ และเล็ดรอดเข้าไปกินลูกกุ้งจนหมดบ่อ สร้างความเดือดร้อนให้แก่เกษตกรเป็นอย่างมาก เนื่องจากเป็นปลาต่างถิ่นที่ขยายพันธุ์อย่างรวดเร็วและคุกคามพันธุ์สัตว์น้ำพื้นถิ่น ทำให้เกตรกรผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำต้องประสบภาวะการขาดทุนต่อเนื่องมานานกว่า 3 ปีแล้ว ขณะที่ยังไม่มีหน่วยงานใดออกมารับผิดชอบหรือให้การช่วยเหลือแก่เกษตรกรชาวบ้าน
“อย่างผมเองเพิ่งจากลงลูกกุ้งไปกว่า 4 หมื่นบาท แต่ไม่เหลือกุ้งเลย ในบ่อมีแต่ปลาหมอสีคางดำ ต้องเสียเงิน 1 หมื่นบาท จ้างคนงานเป็นสิบคนช่วยกันวิดบ่อเพื่อกำจัดปลาเอเลี่ยน เจอแบบนี้มา 3 ปีแล้ว ชาวบ้านต้องดิ้นรนแก้ปัญหากันเอง ไปกู้เงินมาลงกุ้งใหม่ ก็ไม่รอดเจอปลากินหมด และตอนนี้เริ่มมีการพบปลาชนิดนี้ในพื้นที่ชายฝั่งแล้ว หากไม่เร่งกำจัดก็อาจจะกระทบกับชาวบ้านที่เลี้ยงหอย จึงอยากให้มีการเปิดเผยข้อมูลการอนุญาตนำปลาชนิดนี้เข้ามาเลี้ยง และเหตุใดจึงมีการปล่อยสู่แหล่งน้ำธรรมชาติ เพื่อหาทางแก้ปัญหาที่ต้นแหตุ” นายปัญญา กล่าว
นายปัญญากล่าวอีกว่า ขณะนี้ชาวบ้านทำได้เพียงช่วยกันจับปลาหมอสีคางดำออกจากบ่อ เพื่อนำไปขายเป็นอาหารสัตว์ได้ราคาเพียง 3-4 บาทเท่านั้น เพราะปลาชนิดนี้มีก้างใหญ่เนื้อแข็ง รสชาติไม่ดี จึงไม่เป็นที่นิยมรับประทาน ซึ่งไม่คุ้มกับค่าจ้างคนงานจับปลา ชาวบ้านต้องทนขาดทุนเพื่อกำจัดปลาเอเลี่ยนให้หมด จึงต้องการให้รัฐบาลเร่งการแก้ปัญหา โดยออกมาตรการคือ 1.เปิดเผยช้อมูลว่าเอกชนรายใดนำปลาเข้ามาเพาะเลี้ยงในพื้นที่ใดบ้าง 2.รัฐบาลโดยกรมประมง และบริษัทผู้นำเข้าต้องรับผิดชอบซื้อจากหมอสีคางดำจากเกตรกรในราคากิโลกรัมละ 30 บาท เป็นเวลา 1 ปี
นายปัญญา กล่าวอีกว่า 3.อนุญาตให้เกษตรกรรวมกลุ่มใช้เครื่องมือประมงพื้นบ้านที่ผิดกฎหมายในพื้นที่ระบาดของปลาหมอสีคางดำเป็นเวลา 1 ปี 4.หลังจากกำจัดปลาหมอสีคางดำเป็นเวลา 1 ปีแล้ว ให้มีการปล่อยพันธุ์ปลาพื้นถิ่นคืนสู่แหล่งน้ำธรรมชาติ 5.ให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ยกเลิกการเก็บดอกเบี้ยจากเกษตรผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในพื้นที่ระบาดเป็นเวลา 3 ปี
“หน่วยงานรัฐและบริษัทเอกชนถือเป็นผู้ละเมิดสิทธิชุมชน เพราะเป็นผู้อนุญาตให้เกิดการนำเข้าปลาหมอสีข้างดำมาเพาะเลี้ยงในประเทศ และปล่อยลงสู่แหล่งน้ำธรรมชาติ ดังนั้นทั้งสองฝ่ายต้องลงมารับผิดชอบต่อปัญหา ไม่ใช่ปล่อยให้ชาวบ้านแก้ปัญหาฝ่ายเดียว เราต้องการให้ทุกฝ่ายร่วมกันแก้ปัญหาอย่างเร่งด่วน ชาวบ้านก็พร้อมร่วมมือช่วยกำจัดปลาเอเลี่ยน แต่ก็ต้องสนับสนุนและช่วยเหลือชาวบ้านด้วย เพราะตอนนี้ก็ขาดทุนเป็นหนี้กันทุกคน” นายปัญญากล่าว
ด้าน ดร.นณณ์ ผาณิตวงศ์ กลุ่มอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ Siamensis กล่าวว่า กรมประมงเป็นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับปัญหาการระบาดของปลาหมอสีคางดำ เนื่องจากเป็นผู้อนุญาตให้บริษัทเอกชนนำเข้าปลาจำนวน 5 พันตัว โดยทดลองเพาะเลี้ยงในประเทศไทยเพื่อเป็นอาหารสัตว์ ที่โดยปกติแล้วต้องมีการควบคุมการเพาะเลี้ยงอย่างเข้มงวด และหากเลิกเพาะเลี้ยงต้องมีการกำจัดซากและส่งคืนปกรมประมง เพื่อป้องก้นการหลุดสู่แหล่งน้ำธรรมชาติ ส่วนตัวจึงเชื่อว่ากรณีนี้น่าจะเกิดจากความไม่ตั้งใจหรือไม่รอบคอบของผู้เพาะเลี้ยงมากกว่า ดังนั้นกรมประมงจึงควรเปิดเผยชื่อบริษัทเอกชนที่นำปลาชนิดนี้เข้ามาเพาะเลี้ยง เพื่อให้เกิดกระบวนการตรวจสอบหาผู้รับผิดชอบ และควรมีการลงโทษหากพิสูจน์แล้วว่าเกิดจากความสะเพร่าของบริษัทเอกชน
“กรมประมงเหมือนกำลังปกป้องคนผิด เพราะไม่ยอมเปิดเผยว่าบริษัทไหนเป็นผู้นำเข้ามาหมอสีคางดำเข้ามา เชื่อว่าปลาชนิดนี้กำจัดไม่ง่ายเลย เพราะโตเร็ว แพร่พันธุ์เร็ว อยู่ได้ทั้งน้ำจืดและชายฝั่งน้ำเค็ม การแก้ปัญหาที่จะเอาปลากระพงไปปล่อยเพื่อให้กินลูกปลา ก็น่าจะเป็นแค่การผ่อนหนักเป็นเบาให้เกษตรกรได้เท่านั้น เหมือนเช่น กรณีผักตบชวาหรือหอยเชอรี่ก็กำจัดได้ไม่หมด ดังนั้นปัญหานี้อาจทำให้คนเลี้ยงกุ้งล่มสลายได้เลย ชาวบ้านอาจต้องตากบ่อนานขึ้น ทำระบบกรองน้ำให้ดีขึ้น ต้องลงทุนมากขึ้น”
กรมประมง เร่งออกแนวทางกำจัดปลาหมอสีคางดำ ย้ำเป็นสัตว์ทำร้ายพันธุ์ปลาท้องถิ่น
ขณะที่นายอดิศร พร้อมเทพ อธิบดีกรมประมงเปิดเผยถึงสถานการณ์การควบคุมปลาหมอสีคางดำว่า ปลาชนิดดังกล่าวเป็นสัตว์น้ำต่างถิ่นครอบครัวเดียวกับปลาหมอสีและปลาหมอเทศ จัดเป็นปลาที่กินอาหารเก่ง โดยสามารถกินได้ทั้งแพลงตอนพืช และลูกกุ้ง ลูกปลาที่มีขนาดเล็กๆ รวมทั้งมีความสามารถแพร่ขยายพันธุ์ได้อย่างรวดเร็ว อัตราการรอดตายสูงดังนั้นเมื่อมีการแพร่ระบาดจึงส่งผลกระทบโดยตรงต่อสัตว์น้ำพื้นถิ่นรวมถึงบ่อเลี้ยงของเกษตรกร จากการสำรวจปริมาณปลาหมอสีคางดำในแหล่งน้ำสาธารณะยังพบปริมาณน้อยส่วนมากจะพบในบ่อเลี้ยวสัตว์น้ำเนื่องจากวิถีชีวิตของเกษตรกรจะใช้วิธีเปิดน้ำเข้าบ่อเลี้ยงของตนเพื่อรับลูกพันธุ์จากธรรมชาติโดยไม่ใช้ถุงกรองส่งผลทำให้ปลาชนิดดังกล่าวหลุดรอดเข้าไปแพร่ขยายพันธุ์กินสัตว์น้ำขนาดเล็กและลูกสัตว์น้ำรุ่นอนุบาล ซึ่งหลังจากเกิดการระบาดกรมประมงได้จัดส่งทีมเจ้าหน้าที่กรมประมงลงพื้นที่สำรวจข้อมูลความเสียหาย และช่วยบรรเทาปัญหาในเบื้องต้นไปเรียบร้อยแล้ว ล่าสุดกรมประมงได้จัดประชุมผู้เชี่ยวชาญและนักวิชาการประมง และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เพื่อกำหนดนโยบายในการช่วยเหลือ ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว โดยได้ข้อสรุปดังนี้
นายอดิศร กล่าวว่า แนวทางระยะสั้นที่จะดำเนินการอย่างเร่งด่วน1. กรมประมงเตรียมจัดโครงการกำจัดปลาหมอสีคางดำเพื่อลดปริมาณในธรรมชาติและบ่อเลี้ยง โดยภายใต้โครงการนี้จะมีการรับซื้อปลาชนิดนี้ในช่วงระยะเวลาจำกัด ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการกำหนดเงื่อนไขและคำนวณราคารับซื้อให้เหมาะสมเพื่อจูงใจให้เกษตรกรและประชาชนจับมาขึ้นมาขาย ทั้งนี้ กรมประมงได้ขอความร่วมมือกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) และประชาชนในพื้นที่ในการช่วยกันนำอวนไปลากจับปลาหมอสีคางดำขึ้นจากแหล่งน้ำธรรมชาติ2. กรมประมงได้เตรียมปล่อยปลากะพงขาวลงแหล่งน้ำเพื่อตัดวงจรการแพร่ขยายพันธุ์ปลาหมอสีคางดำ ส่วนเหตุผลที่กรมประมงไม่ปล่อยลงแหล่งน้ำทันที เนื่องจากปลากะพงขาวเป็นปลากินเนื้อ แต่การเลี้ยงปลากะพงขาว ในปัจจุบันนี้ส่วนใหญ่จะให้อาหารเม็ดส่งผลให้พฤติกรรมในการล่าเหยื่อที่เคลื่อนไหวลดน้อยลงไป ดังนั้นกรมประมงจึงจำเป็นที่จะต้องฝึกกระตุ้นสัญชาตญาณนักล่าของปลากะพงขาวก่อนที่จะนำไปปล่อยลงในแหล่งน้ำ
////////////////////////