เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2560 ที่โรงแรมเสนาเพลส กรุงเทพฯ มีงานเสวนาเรื่อง “จ้างลูกจ้างข้ามชาติทำงานบ้าน” ภายใต้พระราชกำหนด(พ.ร.ก.)การทำงานของคนต่างด้าโดยมีผู้เข้าร่วมทั้งนายจ้าง ลูกจ้าง ตัวแทนภาครัฐราว 30 คน
นางพูลทรัพย์ สวนเมือง ตุลาพันธุ์ ผู้จัดการมูลนิธิฯ กล่าวว่า พ.ร.ก.การทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. 2560 นี้มีผลกระทบกับลูกจ้างทั่วไปอยู่แล้ว แต่ลูกจ้างในครัวเรือนค่อนข้างกระทบเยอะกว่า โดยเฉพาะกลุ่มนายจ้างที่ทำงานนอกระบบ และหากสังเกตดีๆ คือ คนที่เป็นนายจ้างและลูกจ้างกลุ่มนี้จะไม่ค่อยรู้ข้อมูลรายละเอียดและปัญหาคือ 1 ลูกจ้างกับนายจ้างพร้อมใจไปไปจดทะเบียนกัน บางคนเข้าใจผิดว่าไม่เป็นไร ไม่มีใครค้นเจอ นี่เรื่องจริงเพราะมีลูกจ้างเคยร้องเรียนมาว่านายจ้างมองว่าอยู่ในบ้านไม่มีใครมายุ่ง
นางพูลทรัพย์ กล่าวว่า 2 ตัวลูกจ้างเองต้องการจะไปจดทะเบียนอยู่แล้ว ยิ่งเห็นกฎหมายออกมาเข้มแบบนี้ต้องอยากทำตัวถูกต้องแล้ว แต่นายจ้างมองว่ายุ่งยาก หรือบางคนส่งตัวแทนไปทำให้ เช่น บริษัทจัดหางาน ซึ่งบริษัทพวกนี้จะเอาตัวเองไปเป็นนายจ้าง ซึ่งเมื่อทำเช่นนี้จะผิดกฎหมายเพราะว่า ชื่อนายจ้างลูกจ้างไม่ตรงกับเอกสารอนุญาตทำงาน และ 3 คือ เวลาลูกจ้างข้ามชาติ ( เวียดนาม กัมพูชา ลาว พม่า) เข้ามาทำงานโดยผ่านบริษัทตัวแทน บริษัทจะขี้เกียจทำข้อมูลจ้างในครัวเรือน ก็จะจดทะเบียนเป็นอย่างอื่นไม่ใช่คนทำงานบ้าน เช่น อาชีพก่อสร้าง
“สิ่งที่เราค้นพบนั้นคือ 80 เปอร์เซ็นต์ของลูกจ้างที่ทำงานบ้านที่เราทำงานด้วย ไม่ได้จดทะเบียนเข้ามาทำงานเป็นแม่บ้าน หรือทำงานบ้านโดยตรง แต่จดเป็นอาชีพอื่น เพราะงั้นจึงมีผลกระทบมาก เราจึงต้องตั้งคำถามว่า ทำไมภาครัฐไม่คิดเรื่องนี้ และไม่ค่อยมีข้อมูล แล้วก็พอไม่มีข้อมูล คำอธิบายทางหนีทีไล่ และข้อนิยามในกฎหมายก็ไม่ชัดเจน ดังนั้นเมื่อเป็นแบบนี้ นายจ้างในครัวเรือนจึงไม่ค่อยมีข้อมูล และจริง ๆ คนที่เป็นนายจ้างสามารถจ้างแม่บ้าน จ้างคนทำงานบ้านได้ มันต้องมีรายได้ระดับหนึ่งนะ อย่างเราเคยเจอว่าไปจดทะเบียนแล้วเข้าแถวยาวมาก ในความจริงใครจะอยากไปอดทนเช่นนั้น นายจ้างในครัวเรือนจึงเลือกจ้างตัวแทน สิ่งที่เรากลัวคือ หลังธันวาคมปีนี้ ครบกำหนดผ่อนผันให้ไปจดทะเบียนและต่อไปเดินหน้าปรับ แบบนี้น่ากลัว เพราะปรับสูงตาม พ.ร.กใหม่ ตรงนี้คือ ส่วนที่ไทยละเลย ในเรื่องรายละเอียดและเหตุการณ์ที่เป็นจริง ไทยปิดตาข้างหนึ่งตลอด” นางพูลทรัพย์ กล่าว
นางพูลทรัพย์ กล่าวด้วยว่า จากการสำรวจของนักวิจัยจากสถาบันวิจัยสังคมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ทำให้สำนักงานประกันสังคม พบว่า ข้อมูลคนทำงานบ้านใน 19 จังหวัดประเทศไทย มีแรงงานคนไทยราว 1 ล้านคน เป็นแรงงานข้ามชาติราว 1.4 แสนราย ซึ่งส่วนนี้นับเฉพาะคนที่ยอมจดทะเบียนเองและจ่ายประกันสังคมให้ลูกจ้างเองเท่านั้น แต่ถ้าเราประเมินเบื้องต้นจะพบว่าไม่ค่อยเจอแล้วคนทำงานบ้านคนไทย แรงงานข้ามชาติมากกว่าแรงงานคนไทยมากมาย แต่ไทยไม่ได้คิด ซึ่งถ้าเราคิดดี ๆ เราจะได้ประโยชน์จากการเก็บค่าประกันสังคม และหากลองคิดมูลค่าเศรษฐกิจจากตรงนี้ เราอาจจะมีโอกาสจัดการระบบแรงงานข้ามชาติที่มั่นคงและมีรายละเอียดมากกว่านี้ และอีกประเด็นที่เราค้นพบ คือ ก่อนไทยออกกฎหมายเรื่องนี้ และมีการออกกฎให้ลงนามความร่วมมือ (MOU) เรื่องแรงงาน ไทยระหว่างรัฐกับรัฐ ที่รัฐบาลไทยพยายามพูดว่าต้องจดทะเบียนถูกต้องตามประเภทการจ้างงาน สถานที่ และมีชื่อนายจ้างลูกจ้างตรงตามจริง ถ้าไม่ตรงมีบทลงโทษ ส่วนนี้ลืมไปว่ารัฐบาลพม่าเองแบนหรือไม่ยอมรับส่งออกแรงงานให้มาเป็นแม่บ้าน หรือคนทำงานบ้าน ซึ่งเรื่องนี้แรงงานพม่าเองเข้าใจและไม่ได้รังเกียจอาชีพนี้ แต่เวลาไปจดทะเบียนจากประเทศต้นทางนั้นยาก เพราะรัฐบาลไม่มีตัวเลือกแรงงานประเภทดังกล่าว ทางมูลนิธิฯ จึงอยากให้แรงงานมารวมตัวกันและผลักดันให้แรงงาน ลูกจ้าง นายจ้าง เข้าใจและสื่อสารให้รัฐบาลเข้าใจด้วย เพื่อเวลาที่มีบทลงโทษตามกฎหมายจะได้พิจารณาข้อเท็จจริง
ด้านนางสาว นันซา เนมิท แรงงานพม่าอาชีพทำงานบ้านที่มีประสบการณ์ทำงานในประเทศไทยมา 15 ปี กล่าวว่า ก่อนจะมาเป็นแม่บ้านนั้น เข้ามาทำงานในโรงงานอย่างผิดกฎหมายในประเทศไทยก่อน กระทั่งถูกจับกุมและปิดโรงงาน ตนจึงกลับไปประเทศเพื่อทำบัตรสีชมพู และทำพาสปอร์ตเข้ามาในประเทศไทยอีกครั้งตามคำชักชวนของญาติ และเปลี่ยนนายจ้างบ่อยครั้งเพราะถูกบังคับให้ทำงานนอกเวลาโดยไม่ได้รับค่าจ้าง ถูกยึดพาสปอร์ต และใบอนุญาตทำงาน และถูกเรียกเก็บเงินประกันค่างานสูงกว่ารายได้ต่อเดือน
“ปีแรกหนูทำเงินเดือน 3,000 เองค่ะ เขาให้ลองงาน 1 เดือน แล้วก็ขอหักเงินเดือนเดือนแรกไว้เพราะกลัวเราหนี แต่ก็จ้างหนูแค่ 3,000 หนูก็ขอลาออก ก็เสียเงินประกันไป ต่อมาก็ทำงานอีกเปลี่ยนบ่อยมากเพราะทำงานอาทิตย์ละ 6 วัน แล้วเจ้านายเขาเมากลับมาตี 1 ตี 2 ปลุกจะกินข้าวต้ม บางคนมีปาร์ตี้ดึกดื่น จ้างงาน 5,000 ก็ต้องรอรับใช้เขา แล้วมันก็ไม่ไหว หนูเลยเปลี่ยนไปจนเจอคนดี ๆ ก็อยู่ด้วยสักพักจนเขาเลิกจ้าง แต่เจ้านายมีทั้งดี ไม่ดี แล้วแต่คน งานบ้านจะพูดไปมันดีตรงที่มีบ้านอยู่ มีข้าวกิน แต่ทำงานไม่เป็นเวลา นี่แหละน่ากลัว เราเป็นแรงงานข้ามชาตินอกระบบด้วย ความเสี่ยงมันเยอะ” นางสาวนันซา กล่าว
นางสาวนันซา กล่าวต่อว่า ปัจจุบันตนไม่เข้าทำงานบ้านให้คนไทยแล้ว หันมารับจ้างนายจ้างฝรั่งที่อยู่ในประเทศไทยซึ่งเขามีใบจ้างงานให้ แต่ปัญหาคือ ตนเองและนายจ้างสับสนว่า ถ้ากฎหมายใหม่ประกาศใช้ แล้วนายจ้างจะไปจดทะเบียนอะไรดี และยังสงสัยว่าถ้ามีปัญหาในการจ้างงานควรไปติดต่อกับใคร เพราะบางครั้งฝรั่งอาศัยอยู่ในประเทศไทยระยะสั้นมี 6 เดือนบ้าง 1-4 ปีบ้าง บางครั้งใบอนุญาตทำงานหมดระหว่างทาง เพราะฝรั่งย้ายประเทศ แต่ย้ายตนไปด้วยไม่ได้ ต้องยอมอยู่ไทยเพื่อทำงานต่อ พอเปลี่ยนนายจ้างระหว่างปี บางทีมีปัญหาเพราะยังไม่ครบกำหนดที่ได้รับใบอนุญาต แต่นายจ้างจะเลิกจ้างก่อน กรณีนี้ฝรั่งเขารับผิดชอบค่าชดเชยให้ถูกต้อง แต่ไม่รู้ว่าจะไปจ่ายภาษีและค่าชดเชยที่ต้องจ่ายให้รัฐไทย ตนยังสับสนไม่รู้จะไปเสียที่ไหน
“หนูทำงานกับฝรั่งเงินดีกว่า งานเบากว่า และเวลาทำงานคือ 7 โมงเช้าถึง 6 โมงเย็น ทำอาทิตย์ละ 5 วัน ได้รับเงินเดือนเต็ม ๆ มีประกันสุขภาพให้ ไปตรวจสุขภาพทุกปี และถ้ามีงานดึก มีปาร์ตี้ จะได้โอทีอีก แล้วแต่งานยาก งานง่าย อยากรับจ้างฝรั่ง เพราะไม่ต้องแบกรับความเสี่ยง แต่กฎหมายใหม่เคยไปถามจะไปจดทะเบียน เจ้าหน้าที่บอกว่า แนะนำให้ทำสัญญาจ้างเราก็ไม่อยากทำเพราะงานบ้านต้องใช้เวลาศึกษาระหว่างนายจ้างลูกจ้าง จะมาให้ลงชื่อรับใช้ไปหลายปีตามกำหนด ถ้ามันยาก มันลำบาก มันถูกเอาเปรียบ จะให้เราไปลาออกยังไง บางคนเขาไม่ให้ลาออกด้วยนะ ดังนั้นสัญญาจ้างตามคำไม่ใช่ทางออก มันน่าจะมีข้อกฎหมายและนิยามใหม่ที่ดีกว่านี้ ” แรงงานสาวอธิบาย
แรงงานพม่ากล่าวเพิ่มว่า แรงงานพม่าจำนวนมากต้องการงานบ้านเพราะมีที่พักฟรีและปลอดภัยกว่าโรงงาน แต่ว่า กฎหมายใหม่ที่ทางการให้ไทย MOU กับรัฐบาลพม่า ว่าจะส่งออกและนำเข้าแรงงานแบบรัฐต่อรัฐมันเกิดขึ้นยาก เพราะวัฒนธรรมและนโยบายรัฐบาลพม่าเขาไม่ยอมรับเงื่อนไขนี้ ทางการพม่ามองว่างานบ้านเป็นงานต่ำต้อย และในพม่าเองก็แทบไม่มีใครทำงานบ้าน เว้นแต่พนักงานทำความสะอาดโรงแรม และร้านอาหารเท่านั้น ปัญหาเลยพบว่า แรงงานพม่าตอนนี้ที่ทำงานบ้านในไทย เวลากลับบ้านไปพักร้อนพร้อมถือใบอนุญาตจ้างทำงานบ้าน กลับประเทศเมื่อเจ้าหน้าที่พม่าเห็น จะยึดหรือจับกุมทันที เลยสงสัยว่า ถ้าให้แรงงานพม่าลงทะเบียนให้ถูกต้องที่ประเทศไทย กรณีงานบ้านจะทำยังไง เพราะเวลาเข้ามาจะต้องบอกทางการพม่าว่ามาเป็นกรรมกร มาก่อสร้าง มาทำโรงงาน คือ พูดความจริงไม่ได้ แต่พอมาไทย เอาใบอนุญาตเข้ามาเป็นกรรมกร เป็นอาชีพอื่น แล้วเข้ามานายจ้างเป็นเจ้าของร้านบ้าง บางคนจ้างเสิร์ฟ บางคนจ้างเก็บ กวาด บางคนก็จ้างขายของ ถ้าตำรวจมาเห็นเขาก็จับอยู่ดี อยากให้รัฐบาลไทยกับพม่าเปิดเวทีคุยกันจริงจัง
ด้านนายครรชิต มโนวรางกูร ผู้อำนวยการกองคุ้มครองแรงงานนอกระบบ กล่าวว่า นิยามความหมายของงานบ้านตามอนุสัญญาองค์กรแรงงานระหว่างประเทศ คือ งานที่ทำในหรือเพื่อครัวเรือน เช่น ทำอาหาร ซักรีด ดูแลเด็ก คนชรา เป็นต้น กรณีนี้กฎหมายคุ้มครองแรงงานทำงานบ้านโดยตรง โดยมีกฎกระทรวงตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงานว่า ห้ามนายจ้างเรียกรับเงินประกันจากลูกจ้าง และควรปฏิบัติต่อลูกจ้างตามกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ลูกจ้างมีสิทธิลาหยุดตามกฎหมาย หากจะเลิกจ้างต้องแจ้งล่วงหน้าอย่างน้อย 1 เดือนหรือ 1 งวดจ้างงาน กรณีนายจ้างฝ่าฝืนสามารถร้องเรียนได้ที่พนักงานตรวจแรงงานท้องที่ใดก็ได้
“กฎหมายมีชัด แต่หากนายจ้างลูกจ้างไม่สบายใจก็ทำสัญญาจ้างงานกันได้ และวางเงื่อนไขระหว่างกันได้ แต่ว่าต้องไม่เหนือกฎหมายที่คุ้มครอง หากใครได้รับค่าแรงไม่คุ้มเวลาทำงาน หรือถูกใช้งานเกินสามรถโทรร้องเรียนได้ที่ 1546” นายครรชิต กล่าว