Search

ความอลหม่านในกฎหมายใหม่ เสียงสะท้อนจาก นายจ้างนอกระบบ-แรงงานข้ามชาติ

“ศาลเตี้ยมันยังใช้ได้จริงในวงการแรงงาน และเมื่อกฎหมายออกมาคลุมเครือ ไม่รอบด้าน ศาลเตี้ยหรือขบวนการทำงานผิดกฎหมายจะเพิ่มมากขึ้น”

ข้อกังวลดังกล่าวยังดังในใจของ นางสาวพรรณ (นามสมมุติ) อดีตครูสอนหนังสือที่ผันตัวเองมาเป็นแม่ค้าขายข้าวเหนียวหมูทอดที่เปิดกิจการเล็ก ๆ ในเมืองใหญ่ตั้งแต่ปี 2545 เพราะอยากมีชีวิตที่อิสระ ต่อมากิจการดีขึ้น เธอจึงต้องการผู้ช่วย เริ่มที่การจ้างแรงงานชาติพันธุ์ผู้ที่ถือบัตรบุคคลต่างด้าวที่มีถิ่นที่อยู่อาศัยถาวรในประเทศไทยชาวกะเหรี่ยงจากจังหวัดกาญจนบุรี ต่อมาจ้างแรงงานพม่า โดยเริ่มจากการจ้างานช่วยผลิตหมูทอด หุงข้าว เตรียมวัตถุดิบ และพัฒนาไปจนสามารถขายของแทนเธอได้ ซึ่งเหตุผลที่จ้างแรงงานข้ามชาติเพราะคนไทยไม่มีใครต้องการจะทำงานค้าขายแผงลอย

​ตลอดเวลาที่จ้างงานแรงงานต่างด้าวนั้น นางสาวพรรณ ผู้เป็นนายจ้างเลือกจะแบ่งสินค้าให้ลูกจ้างออกไปขายในบริเวณทางเดินเท้า ใกล้ ๆ กับบ้านของเธอ แต่แล้วเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เมื่อตำรวจเข้ามาล่อซื้อสินค้าแล้วจับกุมลูกจ้างของเธอในข้อหาประกอบอาชีพต้องห้าม คือ “ค้าขาย” ซึ่งเป็นอาชีพสงวนของคนไทย

ลูกจ้างที่ถูกจับได้โทรศัพท์ติดต่อเธอเพื่อให้ช่วยยืนยันว่าเธอเป็นนายจ้างและเป็นเจ้าของแผงสินค้า แต่ตำรวจไม่ได้รับฟัง พร้อมเรียกค่าปรับที่สถานีตำรวจในท้องที่ทันที 5,000 บาท และคืนลูกจ้างกลับสู่ที่ทำงาน

​“เราเป็นแรงงานนอกระบบก็จริงไง แต่เราไม่มีสิทธิจ้างงานเหรอ เราทำคนเดียว เราเหนื่อย เราจ้างเขาก็จ้างราคาถูก แล้วเราก็ไปทำบัตรให้เขาเข้ามาในฐานะลูกจ้างทั่วไป ไว้ใจเขานะ จะให้เรามานั่งนับเงินเอง รับเงินเอง ทอนเงินด้วยตัวเองตลอดก็ไม่ใช่นะ กิจการเล็ก ๆ อย่างเราไม่มีสิทธิจะจ้างเลยหรอ เรานับหมู นับสินค้าแล้ว ยังไงเขาก็ให้เงินเราครบ เขาโม่โกงหรอก แต่เราอยากผ่อนแรงไง จ้างมาแล้วก็ให้ทำทุกอย่างได้ ฝึกให้เขาเป็นงาน และลูกจ้างมากมายเข้ามาในใบอนุญาตกรรมกร พนักงานเสิร์ฟ พนักงานแปรรูปอาหาร แต่เขาก็มีสิทธิช่วยนายจ้างอย่างเราขายของ ถ้าเราไว้ใจกันและกัน แต่นี่ตำรวจมาคิดเอง เออเอง แถมจัดฉากเอง คือ หลอกให้ทอนเงินแล้วถ่ายรูปเป็นหลักฐาน” นางสาวพรรณผูกพันและมีความรู้สึกที่ดีต่อลูกจ้าง

​แม่ค้าวัย 58 ระบุด้วยว่า การปรับเงินดังกล่าวเป็นกระบวนการของศาลเตี้ยที่ทำโดยลับ ๆ ซึ่งเธอพลาดที่ต้องจ่ายเงินค่าปรับ เพราะแรกเริ่มเดิมทีกลัวว่าลูกจ้างจะติดคุก และหาลูกจ้างรายใหม่ก็ไม่ง่าย เพราะงานเช่นนี้ต้องอาศัยความไว้ใจ แต่จริง ๆ แล้วเธอเผชิญการปรับถึง 2 ครั้ง โดยครั้งต่อมาเป็นการปรับที่กรมการจัดหางาน ทั้งหมด 8,000 บาท ในข้อหาทำงานต้องห้ามและจ้างงานผิดประเภท

​แม่ค้ารายนี้เล่าด้วยว่า นี่ยังไม่นับรวมการจัดหาที่นอนนอกบ้านให้แรงงานอีก เพราะเวลาจดทะเบียนแรงงานนั้นต้องจดทะเบียนทั้งที่อยู่ ที่ทำงาน และบางครั้งขอใบอนุญาตแรงงานข้ามชาติแล้ว ปรากฏมาอยู่บ้าน บางทีแรงงานมีแฟน มีญาติ มีครอบครัว เขาอยากอยู่เอง เลยไปเช่าตึกข้างนอกอยู่ พอตำรวจตามมาเจอก็ปรับ จับ ซึ่งทั้งหมดทำภายใต้ข้อกฎหมายเก่า แต่พอมาถึงยุคกฎหมายใหม่นั้น มีแนวโน้มว่าจะรุนแรงกว่าเดิม เพราะเมื่อประเทศไทยประกาศใช้พระราชกำหนด (พ.ร.ก.) การบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. 2560 เมื่อแรงงานข้ามชาติรับเงิน และหากตำรวจใช้วิธีเช่นนี้เข้ามาจัดการ คือ มาล่อซื้อของแล้วจับ ปรับ คงยิ่งจะทำให้ทั้งนายจ้างและลูกจ้างตื่นกลัว เพราะโทษสูงสุดปรับ 4 แสนบาท

“อยากตั้งคำถามว่า คุณจะให้ระบุประเภทงานแบบไหน เพราะเขาขายไม่ได้ กรณีนี้น่าจะยกเว้น เข้าใจดีว่ากลัวนอมินี แต่กิจการเล็ก ๆ แบบเรา ไม่ใช่บริษัท เราจ้างเขามาเป็นแคชเชียร์ คนเก็บเงิน คิดเงิน บ้างได้ไหม ไม่งั้นจะจ้างมาทำไม จ้างแค่ทำหมู แป๊บเดียวก็เสร็จแล้ว เราเองก็ห่วงลูกจ้าง ไม่อยากให้เขาติดคุก เพราะติดเราก็ผิดนะ จ้างงานผิดประเภท ที่อยู่ไม่ตรงกับใบอนุญาต เรื่องนี้น่าจะอะลุ่มอล่วย และแก้ไขเนื้อหาบ้าง เช่น พนักงานเสิร์ฟอาหาร มันควรมีพนักงานที่มาเป็นผู้ช่วยผลิตหมูทอด ช่วยทำงานบ้านด้วย ผู้ช่วยร้านอาหารแผงลอย ช่วยทำอะไรได้บ้าง เพราะเราไม่ได้มีเงินไปเปิดร้านอาหารใหญ่ ๆ มีโต๊ะนั่ง มีเงินเสียค่าเช่าตึก เราไม่ใช่โรงงานนะ จะมีแผนกเสิร์ฟ แผนกล้าง แล้วจ้างคนไทยมาคิดเงินอย่างเดียว มันไม่ใช่เรื่องที่เราจะลงทุนแล้วคุ้ม” นางสาวพรรณกล่าว

อย่างไรก็ตาม วันที่ 31 ธันวาคมนี้ จะครบกำหนดผ่อนผันและผ่อนปรนกรณีการจดทะเบียนแรงงานข้ามชาติตาม พ.ร.ก.แรงงานต่างด้าวแล้ว โดยทางคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้ยื่นคำขาดว่าจะไม่เอาโทษใด ๆ กับนายจ้างและลูกจ้างซึ่งมาขึ้นทะเบียนให้ถูกต้อง ทั้งผู้เข้าเมืองทำงานผิดกฎหมาย ผู้ทำงานไม่ตรงกับประเภทงาในใบอนุญาต ผู้มีชื่อนายจ้างไม่ตรงกับชื่อในใบอนุญาต แต่หากใครแจ้งล่าช้าและไม่ปฏิบัติตามกฎข้อบังคับจะต้องถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย และส่วนมากจะดำเนินคดีกับนายจ้างเป็นสำคัญ

นายจ้างอย่างนางสาวพรรณจึงกลัวว่า ถึงเวลานั้นเธอจะไม่มีลูกจ้างมาช่วยงานอีกแล้ว เพราะกฎหมายไม่อนุญาตให้ลูกจ้างช่วยขายของ และไม่อนุญาตให้ลูกจ้างแตะต้องเงิน และกลัวว่าตำรวจและเจ้าหน้าที่รัฐจะเอากฎหมายดังกล่าวมาล่อซื้อสม่ำเสมอ เธอจึงเห็นควรว่าน่าจะต้องปรับเปลี่ยนวิธีการนิยามผู้ช่วยขายของใหม่บ้าง ไม่เช่นนั้น ร้านค้าเล็ก ๆ ตามตลาดชื่อดัง หลายพื้นที่จะโดนปรับกันทุกคน และปรับในอัตราสูงเกินกว่าแรงงานนอกระบบอย่างเธอจะรับได้ และคิดว่า หากกฎหมายประกาศใช้ เชื่อว่านายจ้างลูกจ้างจะเลือกพึ่งพาระบบศาลเตี้ย คือ ยอมจ่ายค่าปรับตัวต่อตัวกับเจ้าหน้าที่มากกว่าไปที่กรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงานเพื่อกรอกเอกสารการปรับ เพราะเสี่ยงจะถูกจำคุกทั้งสองฝ่าย เนื่องจากลูกจ้างที่มาทำงานบ้านให้เธอนั้น ส่วนมากก็ทำหน้าที่ขายของช่วยเธอด้วย เพราะเธอมีอาชีพค้าขาย จำเป็นต้องประกอบอาชีพเดิมที่เธอรัก และพร้อมจะเสียภาษีให้ภาครัฐเสมอ ขอแค่แก้ไขประเภทงานให้ยืดหยุ่นกว่านี้ และอธิบายรายละเอียดงานที่ชัดเจน ไม่คลุมเครือ เพื่อปิดช่องการทุจริตของเจ้าหน้าที่

​ขณะที่สมาชิกเครือข่ายลูกจ้างทำงานบ้านแรงงานข้ามชาติต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า แม้กฎหมายคุ้มครองแรงงานในประเทศไทยจะมีความเข้มงวดและทางรัฐบาลยังมีการออก พ.ร.ก.แรงงานต่างด้าวฉบับใหม่ โดยให้เหตุผลว่าเพื่อคุ้มครองลูกจ้างข้ามชาติ และเน้นเอาผิดนายจ้างที่ไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย รวมทั้งนายจ้างที่คุกคามสิทธิลูกจ้าง แต่หลายครั้งเครือข่ายยังคงพบการปฏิบัติที่ไม่เท่าเทียมต่อแรงงานข้ามชาติสม่ำเสมอ

ขณะที่นางสาว​จำปา รามา ตัวแทนเครือข่ายลูกจ้างทำงานบ้านและผู้มีประสบการณ์ทำงานบ้านมานานกว่า 25 ปี บอกว่า 80 เปอร์เซ็นต์ของลูกจ้างชาวพม่าที่โทรมาร้องเรียน คือ ถูกเอาเปรียบในเรื่องเวลาทำงานและถูกยึดหนังสือเดินทาง และบางรายต้องการจะลาออกหลังจากทำงานได้ไม่นาน เช่น 3 เดือน 5 เดือน นายจ้างจะเสนอว่าให้หาคนอื่นมาแทนก่อนแล้วค่อยออก ไม่เช่นนั้นจะถูกปรับ ซึ่งการกระทำดังกล่าวเป็นการละเมิดสิทธิลูกจ้างในครัวเรือน

​“เราเคยสอบถามเจ้าหน้าที่นะคะ แต่ว่าหลายคนแนะนำว่าให้ทำหนังสือสัญญา แต่เราไม่อยากคิดแค่นั้น เพราะว่าการเข้ามาทำงานส่วนบุคคล บ้านส่วนตัวแบบนั้น มันดี แต่มันก็เสี่ยง เพราะหากเราไปลงชื่อสัญญาจ้าง แล้ววันหนึ่งเราไม่สบายใจ เขาทำร้าย เขาใช้งานหนัก เขาทำไม่ดี เราไม่มีความสุขจะทำงาน เราจะลาออกยังไง เพราะสัญญามันมีอยู่ ฉันเชื่อว่า 1 ใน 100 คนเท่านั้นที่จะมีสัญญาจ้างเป็นลายลักษณ์อักษร แต่คิดว่านี่ไม่ใช่ทางออก เราอยากให้ทางการไทยบอกไปเลยว่า ถ้าเปลี่ยนงาน กรมการจัดหางานหรือกระทรวงจะปรับร้อย ปรับพันก็ปรับไป เราขอจ่ายเพื่อเปลี่ยนงาน เพราะจริง ๆ แล้วไม่มีใครหรอกอยากเปลี่ยนงานบ่อย ๆ ถ้าทำแล้วมีความสุข อยากอยู่ต่อ อยู่นานทั้งนั้น เราแค่อยากได้สิทธิตรงนี้บ้าง บางทีเราต้องอดทนทั้งที่เราทำงานไม่เป็นเวลา และบางครั้งนายจ้างมีสำนักงานข้างนอก เช่น ร้านค้า สำนักงานทั่วไป ก็มักจะเรียกลูกจ้างไปทำงานทุกที่ เพื่อประหยัดค่าทำงานบ้านและไม่อยากแยกจ่าย ซึ่งส่วนนี้นายจ้างสั่งมาแล้ว ลูกจ้างอย่างเราไม่ไปไม่ได้ เขาใช้ไปไหนก็ไป แล้วถ้าเราโดนจับเขาต้องจ่ายค่าปรับ เขาต้องหักเงินเราอยู่ดี อยากให้ปรับกฎหมายการจ้างงานคนทำงานบ้านให้ครอบคลุม และทำความเข้าใจกับนายจ้างให้ดีกว่านี้” นางสาวจำปาระบุ

ด้านนาย​จำนงค์ ทรงเคารพ หัวหน้ากลุ่มงานพิจารณาอุทธรณ์การทำงานคนต่างด้าว สำนักบริหารแรงงานต่างด้าว กล่าวว่า พ.ร.ก.แรงงานต่างด้าวกำหนดให้จ้างงานแรงงานอายุไม่ต่ำกว่า 18 ปี ไม่เกิน 55 ปี และอาชีพค้าขายไม่อนุญาตให้แรงงานทำ ดังนั้นแม่ค้าที่จ้างงานแรงงานข้ามชาติให้จ้างแค่เสิร์ฟ หรือ ผู้ช่วยด้านเตรียมวัตถุดิบเท่านั้น ให้นายจ้างคุมงานเพื่อรอรับเงินเอง อย่างไรก็ตาม พ.ร.ก.นี้ มุ่งเน้นการจัดระเบียบแรงงานที่ผิดกฎหมาย โดยพยายามช่วยเหลือแรงงานไม่ให้ถูกบริษัทนายหน้าเอาเปรียบ เพราะเน้นการยื่นขอใบอนุญาตระหว่างนายจ้าง รัฐ และลูกจ้าง โดยหลักการง่าย ๆ คือ กรณีนายจ้างต้องการลูกจ้างเอามายื่นต่อรัฐไทย เราจะหาให้ แล้วติดต่อไปยังรัฐบาลพม่า เพื่อหาคนทำงานเหมาะสม นายจ้างจะปลอดภัย ลูกจ้างจะมีความมั่นคงทางการงาน สิ่งที่สำคัญ คือ ต่อไปนี้หลังจากหมดเวลาการผ่อนผันการขึ้นทะเบียน ใครก็ตามที่จ้างงานแรงงานข้ามชาติโดยอ้างทำงานจำเป็นและเร่งด่วน แต่ไม่แจ้งนายทะเบียน จะต้องโทษปรับ 20,000-100,000 บาท และหากพบการใช้งานลูกจ้างไม่ตรงประเภทงานนั้น เช่น ขอใบอนุญาตมาทำงานก่อสร้าง แต่ไปช่วยขายของ แบบนี้ผิด ปรับไม่เกิน 100,000 บาท ส่วนเรื่องข้อกังวลที่ว่า ถูกยึดใบอนุญาตทำงานหรือเอกสารสำคัญประจำตัวคนทำงานข้ามชาติ นายจ้างต้องจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท

​ทั้งนี้ หลังจากลูกจ้างได้จดทะเบียนขึ้นเป็นรายงานถูกต้องตามกฎหมายแล้ว ในกรณีของลูกจ้างที่ทำงานบ้านมีสิทธิ์ในการยื่นคำร้องต่อพนักงานตรวจแรงงาน กรณีนายจ้างฝ่าฝืน หรือไม่ปฏิบัติตามกฎกระทรวงฉบับที่ 14 พ.ศ. 2555 เกี่ยวกับสิทธิที่เป็นตัวเงิน เช่น การไม่จ่ายค่าจ้าง ค่าการทำงานในวันหยุดเป็นต้น ซึ่งหากนายจ้างฝ่าฝืน หรือไม่ปฏิบัติตามกฎกระทรวงฉบับดังกล่าว ก็จะมีโทษตั้งแต่ปรับไม่เกิน 5,000 บาท ถึงจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกิน 200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

​เสียงสะท้อนของแรงงานข้ามชาติและนายจ้างเป็นส่วนหนึ่งที่พยายามจะสื่อสารว่า การใช้กฎหมายแบบเร่งด่วนโดยใช้เหตุผลด้านความมั่นคงเข้ามาจัดการบริหารแรงงานข้ามชาตินั้น ค่อนข้างสับสน และยังพบช่องทางการทุจริต รวมทั้งมีแนวโน้มที่นายจ้างคุกคามลูกจ้างได้ทั่วไปเพิ่มขึ้น รัฐไทยอาจจะต้องตั้งคำถามกับตัวเองอีกครั้งว่า นี่เป็นทางออกของการแก้ปัญหาการค้ามนุษย์ และแก้ปัญหาแรงงานผิดกฎหมายจริงหรือไม่.

On Key

Related Posts

เร่งแก้ไขน้ำประปาปนเปื้อน 18 หมู่บ้าน นายก อบจ.เชียงรายเผยระบบไม่ได้มาตรฐาน-เตรียมปรับปรุงเพิ่ม-คพ.ส่งทีมตรวจลงพื้นที่ตรวจสอบทั้งหมด-เบื้องต้น 3 หมู่บ้านไม่พบสารโลหะหนัก-สำรวจหาแหล่งน้ำสะอาดแห่งใหม่