Search

ฟังเสียงสะท้อนจากเพื่อนบ้าน “เหมืองบานชอง” 1 ใน 12 ทุนไทยในต่างแดน


เป็นเวลาหลายสิบปีมาแล้วที่ประเทศไทยเดินหน้าพัฒนาด้านอุตสาหกรรม และในปี 2017 นี้ มีชุมชนจำนวนไม่น้อยทยอยออกมาเรียกร้อง ฟ้องร้องความเป็นธรรมเนื่องจากผลกระทบที่เกิดจากอุตสาหกรรมหลากประเภท เช่น เหมืองทองคำ โรงไฟฟ้า ฯลฯ บ้างชนะคดี บ้างแพ้คดดี บ้างก็อยู่ระหว่างต่อสู้คดี แต่ไม่ว่าจะยุคใด ภาคอุตสาหกรรมไทยขนาดใหญ่ก็ไม่เคยยอมปรับปรุงอย่างจริงจังและหันมารับผิดชอบผลพวงจากการลงทุนที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตและสิ่งแวดล้อมของภาคประชาชนเลยสักครั้ง และการลงทุนก็ยังไหลไปยังประเทศเพื่อนบ้านด้วย

คณะอนุกรรมการด้านสิทธิมนุษยชนและฐานทรัพยากร ในคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ได้เข้าไปมีบทบาทในการตรวจสอบข้อเท็จจริงของทุนไทยในต่างประเทศมีอยู่มากมายหลายโครงการ แต่ที่ถูกจับตาจากสาธารณะและภาคประชาชนที่เกี่ยวข้อง โดยมีคณะทำงานติดตามการลงทุนข้ามพรมแดนของไทย คอยติดตามรายงาน มีมากถึง 12 โครงการ แบ่งเป็นในพม่า 6 โครงการ คือ เขื่อนไฟฟ้าพลังน้ำฮัตจี รัฐกะเหรี่ยง, ท่าเรือน้ำลึกและเขตเศรษฐกิจพิเศษทวาย, โรงไฟฟ้าถ่านหินเมืองเย รัฐมอญ, เหมืองแร่ดีบุกเฮงดา เมืองมยิตตา, เหมืองถ่านหินบานชอง เมืองทวาย ภาคตะนาวศรี, โรงงานปูนซิเมนต์และโรงไฟฟ้าถ่านหินเมาะลัมใย รัฐมอญ

ในลาว 3 โครงการ คือ เขื่อนไซยะบุรี แขวงไซยะบุรี, โรงไฟฟ้าถ่านหินสงหาลิกไนต์, เขื่อนไฟฟ้าพลังน้ำปากแบงในกัมพูชา 2 โครงการ คือ สัมปทานที่ดินเพื่อปลูกอ้อยและทำโรงงานน้ำตาล จังหวัดเกาะกง, สัมปทานที่ดินเพื่อปลูกอ้อยและทำโรงงานน้ำตาล จังหวัดอุดรมีชัย และในเวียดนาม 1 โครงการ คือ โรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนกวางจิ

ทั้งหมดนี้ ได้รับการพิจารณาแล้วว่าอาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนและสิ่งแวดล้อม การละเมิดสิทธิมนุษยชน

อย่างกรณีเหมืองบานชองในเมืองทวาย ประเทศพม่า ชาวบ้านหลายคนกำลังเดือดร้อนจากเหมืองถ่านหิน ซึ่งหมู่บ้านที่ได้รับผลกระทบจากการเผาไหม้ของถ่านหินในพื้นที่ประกอบด้วย Khon Chaung Kyi,) Pya Tha Chaung Cin Swe Chuang, Hnin Nga Pik, Paung Daw, Ka Taung Ni, Thabyu Chaung, และ Kyauk Htoo ซึ่งกำลังฟื้นตัวเองจากสงครามระหว่างชาติพันธุ์กับรัฐบาลพม่า ต้องตกอยู่ภายใต้ภาวะมลพิษทางเสียง อากาศ จากเหมืองถ่านหินที่เพิ่งมีไฟไหม้ในช่วงต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมา และชาวบ้านต้องมาร้องเรียน กสม.เพื่อให้ตรวจสอบและสื่อสารไปยังบริษัทไทยที่ลงทุนด้านดังกล่าวให้หยุดไฟ เนื่องจากยังมีชาวบ้านที่อาศัยในพื้นที่จำนวนมาก

เหมืองถ่านหินบานชองที่เริ่มดำเนินการในปี พ.ศ. 2555 ภายหลังสนธิสัญญาหยุดยิง โดยมีได้รับอนุญาตทำเหมืองแร่ถึงวันที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2555 และสามารถต่อใบอนุญาตได้ทุกปีจนถึงปี พ.ศ. 2579

เหมืองถ่านหินดังกล่าวตั้งอยู่ในในเขตบานชอง (Ban Chanung) ซึ่งมีความหมายว่า หมู่บ้านแห่งลำน้ำบาน ตั้งอยู่ในเมืองทวาย ภาคตะนาวศรี ประเทศพม่า เป็นเขตการปกครองสองระบบภายใต้รัฐบาลพม่าและสหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง (KNU) เดิมพื้นที่ดังกล่าวได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากการสู้รบเป็นเวลายาวนานโดยเฉพาะในช่วงปี พ.ศ.2539-2540 จากเหตุการณ์ที่กองกำลังทหารพม่าได้ปฏิบัติการโจมตีค่ายมินตามี (Minthamee) KNU ซึ่งเป็นศูนย์บัญชาการของกองพลที่ 4 ของกองทัพสหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยงอิสระ (KNLA)

นอ แอ ปู หญิงชาวกะเหรี่ยงที่ได้รับผลกระทบ ระบุว่า เดิมนั้นชาวบ้านในละแวกนี้ทำเกษตร ปลูกหมากและส่วนมากก็อาศัยแม่น้ำและทำมาหากินกับธรรมชาติ โดยช่วงที่มีสงครามชาวบ้านอพยพหลบหนีสงครามไปที่อื่นและกลับมาตั้งรกรากใหม่ไม่นานก็มีเหมือง ตอนนี้ที่ดินและทรัพยากรถูกแย่งชิงและชาวบ้านหลายรายกำลังป่วยจากสภาพอากาศ ซึ่งล่าสุดได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์เผาไหม้จากเหมืองถ่านหิน และมีบางคนแท้งลูก

เธอเล่าด้วยว่านับตั้งแต่เปิดเหมืองมา ไม่เคยมีการลงมาติดตามผลกระทบภายหลังการดำเนินการทำเหมือง และเพิ่งมีการลงมาตรวจสุขภาพเมื่อสิงหาคม (2017)ที่ผ่านมา โดยสุ่มตรวจเพียงแค่ 10 คนแต่ไม่มีฝ่ายใดรายงานผลตรวจมายังชาวบ้าน ทำให้ชาวบ้านต้องร้องเรียนไปยังท้องถิ่น ตัวแทนบริษัท ก็ยังนิ่งเฉย จึงได้ร้องเรียนยัง องค์กรภาคประชาชนและนำมาสู่การร้องเรียน กสม.ของไทย เพื่อขอความอนุเคราะห์ให้ช่วยประสานงานและเร่งรัดให้บริษัทรับผิดชอบต่อผลกระทบที่เกิดขึ้น และหวังว่าจะได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายทั้งสองประเทศ

“เราเหมือนเจอสงครามรอบสองนะ เรากำลังจะได้รับผลกระทบร้ายแรงจากโครงการเหมืองถ่าน ที่กลัวที่สุด คือ ผลกระทบต่อเด็กที่กำลังเติบโต เขาอาจจะมีปัญหาเรื่องการหายใจลำบาก” นอ แอ ปู อธิบายความรู้สึกสูญเสีย

ตาน ซิน ซิน เจ้าหน้าที่ของ Dawei Development Association (DDA ) เล่าว่า พื้นที่ส่วนใหญ่ในแคว้นตะนาวศรีที่มีการทำสัมปทานเหมืองแร่ จะเป็นพื้นที่ของกลุ่มชาติพันธุ์ ต่างๆ และการเข้ามาลงทุนของกลุ่มทุนส่วนใหญ่มักจะเป็นบริษัทจากจีนและไทย ที่เข้ามาในส่วนของภาคอุตสาหกรรมเหมืองแร่ และปัญหาที่พบส่วนมาก คือ ชาวบ้านมักถูกแย่งชิงพื้นที่ทำกิน และถูกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม ซึ่งกรณีเหมืองถ่านหินนี้ก็ถูกตั้งคำถามว่า จำเป็นหรือไม่ต้องมี รายงานผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ( EHIA) ที่ยอมรับได้ทั้งสองประเทศ คือการทำเหมืองแร่ กระทบต่อวิถีชีวิตของชาวบ้าน คนที่นี่ตั้งคำถามว่าการทำเหมืองควรมีวิธีปฏิบัติและขั้นตอน การดำเนินการที่ดีกว่านี้ แต่ บริษัท ใหญ่ๆ ที่เข้ามาที่นี่ไม่มีกระบวนการนั้นและรัฐบาลพม่าเองก็ไม่มีการติดตามตรวจสอบ ดังนั้น เมื่อชาวบ้านประสบปัญหาจากเหมืองข้อร้องเรียนของชาวบ้าน มักจะไม่ได้รับความสนใจเท่าที่ควร

ความหวังของชาวบ้านในเวลานี้ คือ การรอให้ กสม.ลงพื้นที่ตรวจสอบเพิ่มเติม และคาดหวังเป็นอย่างยิ่งว่าในมิติการลงทุนของไทยและต่างชาติ จะมองเห็นคุณค่าของทรัพยากรธรรมชาติที่หลายชีวิตต้องพึ่งพา รวมทั้งสิทธิชุมชนที่พึงมีก่อนการตัดสินใจเทเม็ดเงินมหาศาลเข้าไปตักตวงทรัพยากรในบ้านพี่เมืองน้อง.

On Key

Related Posts

เชื่อกองกำลังปะหล่องยอมคืนเมืองที่ยึดได้ทางเหนือรัฐฉาน หลังถูกจีนกดดันอย่างหนัก ขณะที่กระแสต่อต้านจีนเพิ่มขึ้น แฉรัฐบาลแดนมังกรทำทุกอย่างเพื่อปกป้องผลประโยชน์ตัวเองในพม่า

เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2568 ในรายการ This week’s IRead More →

เผยทหารว้าขยายพื้นที่ทำเหมืองทองเพิ่มขึ้น-ไม่สนใจความเดือดร้อนของคนลุ่มน้ำกก-สาย แม้รู้ข่าวสารปนเปื้อนลงน้ำแล้ว ชาวพม่า-ไทใหญ่เดือดร้อนกันถ้วนหน้า นักวิชาการ มฟล.เสนอ 3 สถาบันการศึกษาร่วมจัดตั้งศูนย์ตรวจสอบคุณภาพน้ำเชียงราย

เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2568 ชาวบ้านรายหนึ่งซึ่งอาศRead More →

ประชุมแม่น้ำข้ามแดนนัดแรก จังหวัดเชียงรายดันสร้างฝายดักตะกอนแก้ปัญหาสารโลหะหนักปนเปื้อนแม่น้ำกก-แม่น้ำสาย ตั้งคณะทำงาน 4 ชุด นักวิจัยติงคิดให้รอบคอบ หวั่นไม่มีที่ทิ้งสารพิษ-มีบทเรียนจากลำห้วยคลิตี้

เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2568 ณ ห้องธรรมลังกา ศาลากลRead More →