
นักวิชาการจุฬาฯ แนะรัฐเร่งช่วยเหลือชาวเล หวั่นวัฒนธรรมท้องถิ่นสูญหาย จี้จับนายทุนรุกที่เกาะพีพี เอ็นจีโอเสนอทำธนาคารที่ดินช่วยชาวบ้าน
จากกรณีที่ชาวบ้านร้องเรียนเรื่องพื้นที่แหลมตง เกาะพีพี ต.แหลมตง อ.อ่าวนาง จ.กระบี่ ว่า พบร่องรอยการขุดไถพื้นที่เป็นบริเวณกว้างหลายสิบไร่ในเขตป่า เขาอุทยานแห่งชาตินพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี ซึ่งเป็นทำเลสวยงาม สามารถมองเห็นชายหาดและท้องทะเลในมุมสูงของแหลมตง โดยคนในพื้นที่ระบุว่ามีนายทุนเจ้าของโรงแรมแห่งหนึ่งได้ว่าจ้างคนงานชาวพม่าให้ขุดไถแผ้วถาง เจ้าหน้าที่อุทยานฯ ต้องแจ้งตำรวจดำเนินคดีกับผู้ที่กระทำผิดกฎหมาย ขณะเดียวกันชาวเลในชุมชนแหลมตงเองก็ร้องเรียนว่า ที่ดินของพวกเขาก็ถูกนายทุนใช้เล่ห์กลและยึดเอาไปเป็นเจ้าของ จนปัจจุบันชาวเลแทบไม่มีที่อาศัย
ล่าสุด ดร.นฤมล อรุโณทัย สถาบันวิจัยสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้สัมภาษณ์ว่า การกระทำของนายทุนดังกล่าวเป็นเรื่องผิดกฎหมายที่ชัดเจนอยู่แล้ว การเร่งตรวจสอบเอกสารสิทธิเป็นความรับผิดชอบของอุทยานฯ ทั้งสิ้น ซึ่งเป็นกระบวนการทางกฎหมายที่หน่วยงานต้องรับผิดชอบ แต่ในเชิงสังคมนั้น คิดว่าทางจังหวัดควรสนับสนุนให้มีการเคลื่อนไหวในระดับชุมชนด้วย เพราะเหตุการณ์ดังกล่าวสะท้อนชัดเจนว่า ชุมชนมีบทบาทอย่างมากในการเฝ้าระวังและปกป้องพื้นที่ของรัฐ โดยการเป็นเวรยามและดูสถานการณ์ในพื้นที่อย่างดี
นอกจากนี้ ในเรื่องของการดูแลพื้นที่ชุมชนโดยรวมนั้น ระหว่างที่ยังไม่มีการสร้างเขตวัฒนธรรมพิเศษอย่างเป็นรูปธรรม ก็ควรที่จะมีการรวมตัวกันในแบบวิถีชุมชน เพื่อป้องกันการหายไปของชุมชนชาวเล เช่น มีการอนุรักษ์ภาษาท้องถิ่น คงไว้ซึ่งพิธีกรรมต่างๆ เป็นต้น
ดร.นฤมลกล่าวว่า ในมิติของการปกป้องสิทธิ์ของชาวเล ยังจำเป็นต้องเน้นการเร่งรัดในเรื่องการป้องกันการล่มสลายของวัฒนธรรมชาวเล ข้อเสนอที่ควรจะเป็นคือ การเร่งสำรวจข้อมูลยืนยันสิทธิของชุมชนโดยเร็วที่สุด ว่ามีข้อมูลใดบ้างที่ต้องเร่งจัดการชุมชน เพราะขณะนี้ข้อมูลที่มีแคบมาก การวิจัยเชิงลึกยังจำเป็นอยู่ อยากให้มีการทำวิจัยเพิ่มเติมเช่นกันว่า มีพื้นที่ใดบ้างที่ชาวเลกระจายตัวอยู่ อย่างกรณีแหลมตงนั้น คิดว่าเหลือความเป็นชุมชนน้อยมาก หากไม่อนุรักษ์ก็เสี่ยงต่อการสูญหายไป เพราะแหลมตงไม่ได้มีคนอาศัยหนาแน่นเหมือนชุมชนราไวย์ ภูเก็ต ซึ่งการเก็บข้อมูลควรทำให้เร็วที่สุด ไม่เช่นนั้นภายใน 5-10 ปีหลังจากนี้คงไม่เหลือรากเหง้าของชาวเลแล้ว
“เกาะพีพีเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนว่าถูกปิดล้อมโดยรีสอร์ตและที่พัก เบียดพื้นที่จนใกล้เคียงสลัมแล้ว แสดงว่ารัฐไม่ให้ความสำคัญกับชุมชนพื้นเมือง ขณะที่โรงเรียนของแหลมตงเอง ทางเดินเข้าโรงเรียนแทนที่จะสง่างามในฐานะสถานการศึกษา กลับเสมือนเป็นพื้นที่ส่วนเกิน จึงอยากเสนอให้รัฐมีบทบาทเข้ามาดูแล เพื่อให้คงความเป็นสถานศึกษาที่น่าเชิดชูแบบท้องถิ่นบ้าง” ดร.นฤมลกล่าว
กรณีที่รีสอร์ตหรือโรงแรมแห่งใหม่กำลังผุด อุทยานฯ เองก็มีแผนที่ดาวเทียมที่ทันสมัยมากมาย น่าจะทำหน้าที่ตรวจสอบและจับกุมได้ไม่ยาก ส่วนพื้นที่ที่พักอื่นๆ หรือธุรกิจภัตตาคารและร้านค้าหลายแห่งที่เกิดขึ้นจนยากจะเยียวยาแล้ว รัฐบาลควรจัดระบบให้พวกเขามีความรับผิดชอบต่อชุมชน และรับผิดชอบต่อสังคม คือไม่ผลักไสให้ชุมชนไกลออกไป หรืออาจจะมีการพัฒนาโรงเรียนเพิ่มเติม
ด้านนางปรีดา คงแป้น ผู้จัดการมูลนิธิชุมชนไท กล่าวว่า ชุมชนแหลมตงเป็นชาวเลกลุ่มสุดท้ายของเกาะพีพี พวกเขาไม่ควรมีความเป็นอยู่ที่ไร้ตัวตน แต่ควรมีสิทธิ์ในการทำมาหากินในที่ดินซึ่งเป็นฐานเดิม เช่น กรณีที่บนภูเขา ซึ่งชาวเลพบนายทุนจ้างวานแรงงานไปแผ้วถางพื้นที่นั้น ก็ควรมีการจัดสรรให้ชาวเลอย่างเป็นธรรมจะดีกว่า เพราะแม้การท่องเที่ยวดังกล่าวจะมีชื่อเสียงและดูสวยงามในสายตาต่างชาติ แต่ก็ทำรายได้เข้าแค่ภาคเอกชน แสดงว่าการเจริญเติบโตทางการท่องเที่ยวในพื้นที่ดังกล่าวไม่เอื้อต่อชาวเลเลย
“อย่างไรก็ตาม มีข้อเสนอแนะว่า สำนักงานธนาคารที่ดินของสำนักนายกรัฐมนตรีควรจะมีบทบาทมากกว่านี้ ทั้งๆ ที่ภารกิจของสำนักงานดังกล่าวก็มีหน้าที่ซื้อที่ดินเพื่อช่วยเหลือชาวบ้าน เพราะมีงบประมาณในธนาคารหลายสิบล้าน ถ้าใช้เงินของธนาคารที่ดินโดยเร่งรัดให้ผ่านในมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ก็น่าจะมีผล ซึ่งคิดว่ากระทรวงวัฒนธรรมสามารถเสนอนโยบายดังกล่าวได้” นางปรีดากล่าว.
ไทยโพสต์ 6 ธันวาคม 2555
.