
มหกรรม “หลงรักทวาย” ปลายเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ประสบความสำเร็จน่าปลาบปลื้ม มิเสียทีที่สมาคมทวาย และเครือข่ายชาวทวาย ประเทศเมียนมาร์ กับมูลนิธิอาสาสมัครเพื่อสังคม และเสมสิกขาลัย มูลนิธิเสฐียรโกเศศ-นาคะประทีป จากประเทศไทย ร่วมแรงร่วมใจทำกัน
คนเกือบหมื่นทั่วเมืองหลั่งไหลมาร่วมงานที่สวนไผ่ชานเมืองทวายตั้งแต่เช้ายันค่ำ ชมทั้งการแสดงพื้นถิ่น แฟชั่นโชว์ชุดพื้นเมืองพม่า ศิลปะร่วมสมัย นิทรรศการภาพถ่ายและภาพเขียนวิถีชีวิตความงามของทวาย ที่สำคัญคือได้รับรู้ว่าตัวเองมีศักยภาพด้านการท่องเที่ยวมากพอที่จะใช้เป็นหมุดหลักปักเหนือการพัฒนาอุตสาหกรรม เช่นเดียวกับหลายเมืองในอาเซียนที่หันมาใช้การท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ทดแทนภาคอุตสาหกรรมที่ถูกต่อต้านด้วยเหตุผลด้านมลพิษ
นี่คือแนวโน้มใหม่ของเมืองทวายในวันข้างหน้า
“ทุกเสียงบอกว่า ทวายเป็นเมืองน่ารัก น่าอยู่ สวยงาม มีอาหารการกินพื้นเมือง สามารถรักษาขนบธรรมเนียมประเพณีเอาไว้ได้ ทำอย่างไรจะให้ทวายมีชื่อเสียงมากกว่านี้ และรักษาสิ่งดีๆเอาไว้ได้ ถ้าภาครัฐ เอกชน ภาคประชาสังคมมาร่วมมือกัน โอกาสก็เป็นไปได้” มะยิน มาน รมต.ด้านทรัพยากร สิ่งแวดล้อม และเหมืองแร่ ภาคตะนาวศรี กล่าวบนเวทีเสวนา
“มะยิน มาน”เปรียบภาคอุตสาหกรรมว่า เป็นการลงทุนที่ต้องใช้เงิน รวมถึงต้นทุนทรัพยากรธรรมชาติที่ต้องเสียหายไป ต่างจากการพัฒนาท่องเที่ยว ไม่ใช้ต้นทุนมากนัก แต่ให้ผลตอบแทนในระดับที่น่าพอใจ ที่ผ่านมา มีนักท่องเที่ยวมาทวายเพิ่มขึ้น เช่น ปี 2555-2556 มีถึง 4.8 ล้านคน
รมต.ภาคตะนาวศรียังถ่ายทอดแผนงานในปี 2561-2562 ในระดับชาติ พม่ากับไทยจะเร่งสร้างถนน 2 ช่องทางจากบ้านพุน้ำร้อน จ.กาญจนบุรีมายังเมืองทวาย ในระดับท้องถิ่น จะเร่งยกระดับธุรกิจโรงแรมและไกด์ เร่งเพิ่มศักยภาพให้ชุมชนที่พร้อมรองรับท่องเที่ยว เช่น หมู่บ้านมอแกน หมู่บ้านชาวประมงหาดซัลแลน หมู่บ้านกะโลนท่า ฯลฯ

ด้าน “มา ซิน มาร์” ตัวแทนผู้ประกอบการโรงแรม เล่าถึงการนำ “โคโคนัท เกสต์เฮ้าส์” ริมชายหาดมอมะกัน หาดชื่อดังเมืองทวาย ฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆโดยยึดคติ “ไม่มีอะไรที่เกิดขึ้นไม่ได้ มีแต่สิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น” จนกระทั่งธุรกิจเลี้ยงตัวเองได้ มีนักท่องเที่ยวต่างชาติติดต่อเข้าพักเพิ่มขึ้นทุกปี
ปัญหาหลักที่เธอกับคนในพื้นที่ต้องเร่งทำในปีหน้าคือรณรงค์เรื่องความสะอาดของชายหาด ทำแผนบริหารจัดการขยะ การแยกขยะและรีไซเคิล
คนอาเซียนกับการทิ้งขยะไม่ถูกที่เป็นของคู่กัน เมืองท่องเที่ยวต่างๆล้วนเจอปัญหานี้เหมือนกัน เช่นหมู่บ้านชาวประมงซัลแลน ริมทะเลอันดามัน ขนาดจัดตั้งอาสาสมัครเก็บขยะ 3 ครั้งต่อเดือน แต่เก็บอย่างไรก็ไม่ทันคนทิ้งทุกวัน ที่นี่เป็นหมู่บ้านตากปลากระตัก (ปลาไส้ตัน) มองเห็นลานตากทั่วพื้นที่ นักท่องเที่ยวนิยมมาถ่ายภาพ และเหมาเรือไปเที่ยวเกาะสวยงาม 3 แห่งกลางอันดามัน
หมู่บ้านซัลแลนกำลังปรับตัวรับแผนงานท่องเที่ยว โดยมีทีมงาน 7 คนดูแล
“อู จานิ”ผู้แทนกลุ่มบ้านอยากเห็นการพัฒนาถนนก่อน ตามด้วยโรงเรียน เขาไม่เกี่ยงว่าใครจะพัฒนาการท่องเที่ยวหรืออุตสาหกรรม เพราะทั้งสองด้านดีต่อชุมชน และชาวบ้านเหมือนกัน
ซัลแลนต่างกับหมู่บ้านกะโลนท่าซึ่งปฏิเสธนิคมอุตสาหกรรมโดยสิ้นเชิง และตั้งเป้าจะใช้เงิน 125,000 บาทซึ่งเป็นผ้าป่าจากคณะเสมสิกขาลัย เป็นทุนปรับปรุงแหล่งท่องเที่ยวรอบชุมชนในเทือกเขาตะนาวศรี เช่น บ่อน้ำพุร้อน น้ำตก จุดพักริมแม่น้ำตะไลยา ฯลฯ
“การท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์เป็นทางเดียวที่จะสร้างประโยชน์ต่อการพัฒนากะโลนท่า สร้างคุณค่าให้ทรัพยากรในชุมชน พืชผลที่ไม่ค่อยมีราคาก็จะมีราคามากขึ้น ไม่ใช่มุ่งไปทางเขตอุตสาหกรรมด้านเดียว เพราะมันจะทำให้หมู่บ้านแห่งนี้จมอยู่ใต้เขื่อน”หลวงพ่อปินยา วันตะ เจ้าอาวาสวัดกะโลนท่า ผู้นำชุมชน อธิบายแนวคิดซึ่งคนส่วนใหญ่ในหมู่บ้านคล้อยตามแล้ว
ทวายไม่ใช่แห่งแรกที่ใช้การท่องเที่ยวนำอุตสาหกรรม ชุมชนอื่นๆหลายแห่งในอาเซียนกำลังทำอยู่ นั่นคือการสร้าง Community base tourism (CBT) หรือ “การท่องเที่ยวโดยชุมชน”ขึ้นมารองรับการบริหารจัดการการท่องเที่ยวในชุมชนนั้นๆ เช่น ชุมชนริมแม่น้ำอิระวดีในพม่า และชุมชนใน ต.บันทายฉมาร์ จ.บันเตียนเมียนเจย กัมพูชา เป็นต้น

“โมโม เอ” เจ้าหน้าที่องค์กรการพัฒนาทางเลือก เล่าบนเวทีเสวนาถึงประสบการณ์ที่ภาคประชาสังคมซึ่งเคยคัดค้านโรงไฟฟ้าถ่านหิน และเหมืองถ่านหินที่เอยาวดี (อิรวะดี) ได้ร่วมกันทำวิจัย จากนั้นเสนอรัฐบาลขอทำ CBT กระทั่งสามารถปรับปรุงพื้นที่ ตั้งศูนย์กระจายข่าว ประสานงานกันเพื่อรองรับนักท่องเที่ยว ปัจจุบันมี 68 ชุมชนเข้าร่วมโครงการ
งาน”หลงรักทวาย” เป็นการเปิดมิติใหม่ของการพัฒนาด้านท่องเที่ยวนำอุตสาหกรรม หากประสบผลสำเร็จได้เร็วเท่าไหร่ก็เท่ากับชะลอการลงทุนด้านอุตสาหกรรมและหยุดยั้งมลภาวะไว้ได้ระดับหนึ่ง มิให้มีจุดจบเหมือน อ.แม่เมาะ จ.ลำปาง และ อ.มาบตาพุด จ.ระยอง
ดังความห่วงใยจากตัวแทนชาวไทยที่มีต่อชาวทวายผ่านคำประกาศบนเวที โดย “จิตติมา ผลเสวก” ศิลปินศิลปะชุมชน
“ไม่เพียงศิลปวัฒนธรรมอันงดงาม วิถีชีวิตและน้ำใจ ธรรมชาติที่สวยงาม ทวายยังเป็นแหล่งกำเนิดอาหารเลี้ยงชีวิตผู้คนทั้งในต่างประเทศ โดยเฉพาะไทยเองได้พึ่งพาอาหารจากทวาย เนื่องจากไทยที่เคยอุดมสมบูรณ์ไม่ต่างกับทวาย ได้สูญเสียทรัพยากรอาหารที่เคยพึ่งพิงตัวเองได้ไปด้วยสาเหตุหลักจากการพัฒนาที่ไร้ทิศทาง อันเป็นสิ่งที่ยากจะฟื้นคืนให้เหมือนเดิม
ในนามของพี่น้องชาวไทย นอกจากชื่นชมยินดีกับความงดงามอุดมสมบูรณ์ของสิ่งแวดล้อมรายรอบ เราต้องขอแสดงความห่วงใยต่อการเปลี่ยนแปลงที่อาจจะถาโถมเข้ามา เฉกเช่นที่บ้านเมืองของพวกเราประสบมาแล้ว นั่นไม่ได้หมายถึงให้ทวายหยุดยั้งการพัฒนาแต่ประการใด เราเพียงปรารถนาให้ทวายก้าวไปข้างหน้าอย่างระมัดระวังและมีทิศทาง ด้วยศักยภาพทางวัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อมอันเป็นทุนเดิมของทวาย มากคุณค่าในตัวเองโดยไม่ต้องลงทุน หากว่าทวายพัฒนาการท่องเที่ยวจากจุดนี้ น่าจะมีทางที่จะเติบโตทางเศรษฐกิจโดยไม่ต้องพึ่งพิงทุนจากภายนอก”
CBT ดูจะเป็นทางออกของ “ทวาย” และชุมชนพื้นถิ่นในอุษาคเนย์ที่จะนำมาใช้ปกป้องตัวเองให้พ้นจากมลภาวะโดยทุนข้ามชาติ
———-
โดย ภาคภูมิ ป้องภัย
หมายเหตุ-งานเขียนชิ้นนี้ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์มติชนรายวันฉบับวันที่ 4 มกราคม 2561