Search

เที่ยว 1 วัน เมืองหุบเขาดอกไม้บาน สัมผัสกลิ่นอาย Little England ที่ปิ่นอูหลิ่น

เรื่อง/ หมอกเต่หว่า
ภาพ /Jai Jai, หมอกเต่หว่า

หลังลงเครื่องที่สนามบินนานาชาติมัณฑะเลย์ รถแท็กซี่ได้พาเราหนีความจอแจของเมืองหลวงอันดับสองของพม่า ค่อย ๆ ไต่ขึ้นเขาเพื่อไปยังเมืองเล็ก ๆ ที่ห่างออกไป 67 กิโลเมตร ที่ที่อาจไม่ใช่จุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวหลายคน แต่กลับเป็นเมืองที่เราอยากไปเยือนอีกสักครั้งหลังจากที่เคยไปมาแล้วเมื่อ 2 ปีก่อน ถนนที่เต็มไปด้วยฝุ่นคลุ้งข้างทางเพราะอยู่ในช่วงปรับปรุงจนมองไม่เห็นถนน รถบรรทุกขนาดใหญ่วิ่งสวนมาเป็นระยะๆ เสียงแตรรถที่ดังสนั่นหวั่นไหวกลางหุบเขาช่วงพลบค่ำ เพื่อแย่งกันไปถึงจุดหมายให้เร็วที่สุด ทำเอาผู้โดยสารอย่างเรานั่งไม่ติด แอบคิดในใจนั่งรถในพม่าเมื่อไหร่ต้องมีอะไรให้ลุ้นผจญภัยตลอด แต่เมื่อเริ่มถึงจุดหมายปลายทาง ถนนค่อยๆ ดีขึ้น สองข้างทางเต็มไปด้วยต้นสนต้นใหญ่ สัมผัสได้ถึงลมหนาว(มาก)จากนอกรถ แต่ก็รู้สึกได้ถึงมิตรภาพที่อุ่นของของผู้คนเมืองนี้กำลังรอต้อนรับแขกผู้มาเยือน “สวัสดี “ปิ่นอูหลิ่น” ฉันมาหาเธอแล้ว


เราเริ่มเช้าวันใหม่ที่ปิ่นอูหลิ่นด้วยการเที่ยวตลาด เหมือนที่คนไทใหญ่มักพูดว่า “ไค่ลักแหลมเข้ากาด” อยากรู้เท่ารู้ทันเห็นวิถีชีวิตผู้คนต้องเข้าตลาด และอยากจะบอกด้วยว่า หากอยากฝึกฝนภาษาพม่าให้เก่งขึ้นล่ะก็ เข้าตลาดโลดเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะบทสนทนาต่อราคาสินค้ายิ่งทำให้ผู้เริ่มเรียนภาษากระตือรือร้นเป็นอย่างยิ่ง ตลาดที่จะพาไปวันนี้คือตลาด “เลเซ” แปลเป็นไทยได้ว่า ตลาดเล็ก คนที่มาเดินตลาดแห่งนี้หรือแม้แต่พ่อค้าแม่ค้าเป็นคนจีนในพื้นที่เสียส่วนใหญ่ ตลาดเลเซแห่งนี้ตั้งอยู่บนถนนเมียวตั้ดลาน เป็นตลาดสะอาดสะอ้านที่มองไปทางไหนก็มีแต่ผักผลไม้สดๆ อาหารจีน ไทใหญ่ พม่า ที่วางขายให้ผู้ถูกใจมาจับจ่ายซื้อ มาตลาดแห่งนี้รับรองได้อะไรกลับบ้านแน่นอน เราไม่พลาดแวะร้านอาหารไทใหญ่ร้านเล็กๆ แต่ลูกค้าเต็มร้านตลอด เมนูที่สั่งวันนี้คือ “ข้าวซอยสี่แจ้ต” เป็นเส้นข้าวซอยโฮมเมดที่นุ่มละมุนลิ้นปรุงด้วยน้ำมันกระเทียมเจียว พริกไทยป่นพร้อมหมูหั่นแว่น เสริฟพร้อมน้ำซุปร้อนๆ รสชาติกลมกล่อม เข้ากั๊นเข้ากันอากาศหนาวที่นี่ แนะนำเลยไปที่ไหนในพม่าต้องแวะร้านอาหารไทใหญ่เพราะเป็นอาหารที่ขึ้นชื่อ ปิ่นอูหลิ่นยังมีตลาดให้เที่ยวอีกหลายแห่ง หากอยากไปที่คนพลุกพล่าน ศูนย์รวมแหล่งซื้อขายก็แนะนำให้ไปที่ตลาด “จีเซ” หรือตลาดใหญ่ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากใจกลางเมือง

ย่านใจกลางเมืองปิ่นอูหลิ่นบนถนนสายมัณฑะเลย์ – ล่าเสี้ยว เป็นถนนสายที่มีรถวิ่งผ่านตลอดไม่เคยหลับใหล เมืองปิ่นอูหลิ่นจึงเปรียบเหมือนศูนย์กลางการคมนาคมระหว่างมัณฑะเลย์เชื่อมไปรัฐฉาน โดยเฉพาะทางเหนือของรัฐฉาน หรือจากรัฐฉานไปยังมัณฑะเลย์และเดินทางต่อไปยังพื้นที่อื่นๆก็สะดวกดี เมื่อมาถึงใจกลางเมืองปิ่นอูหลิ่น อดไม่ได้ที่จะต้องร้องว้าวให้กับทัศนียภาพที่สวยงามของเมือง โดยเฉพาะสถาปัตยกรรมที่เป็นเอกลักษณ์ จนหลงคิดไปว่าตัวเองกำลังหลุดเข้าไปอยู่ในเมืองสักแห่งหนึ่งของอินเดีย เพราะเดินไปไหนก็เห็นแต่คนอินเดีย แต่มีตึกรามบ้านช่องแบบสไตล์กลิ่นอายอังกฤษ และภาพที่รถม้าแบบมีประตูเหมือนในนิทานซิลเดอเรล่าที่หลายคนที่มาเยือนได้กล่าวไว้ขับผ่านไปตามทุกซอกมุมเมือง ทำให้อดคิดไม่ได้ว่า”นี่พม่าจริงๆรึ?”

 

 

ภายหลังถึงได้รู้ที่มาของเมืองนี้ว่า เดิมทีเมืองปิ่นอูหลิ่นเป็นหมู่บ้านชาวไทใหญ่เล็กๆมีบ้านเรือนแค่หลายสิบหลัง และถูกตั้งเป็นฐานบัญชาการทหารชั่วคราวของอังกฤษ แต่ต่อมาในปี ค.ศ.1896 ทหารอังกฤษได้ตั้งให้เมืองปิ่นอูหลิ่นเป็นศูนย์บัญชาการทางทหารที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งเอาไว้ปราบพวกกบฏ และอังกฤษยังได้นำทหารที่เป็นชาวอินเดีย และทหารชาวกูรข่าจากเนปาลเข้ามายังเมืองนี้ด้วย โดยทหารเหล่านี้ได้แต่งงานกับชาวพื้นเมืองดั้งเดิมและตั้งถิ่นฐานสืบมาจนถึงทุกวันนี้ ซึ่งลูกหลานที่เป็นลูกครึ่งได้ถูกเรียกในชื่อว่า Anglo-Burmese ทำให้เมืองนี้จึงมีกลิ่นอายของวัฒนธรรมที่หลากหลายผสมทั้งอังกฤษ อินเดีย เนปาล ไทใหญ่ พม่าและชาติพันธุ์อื่นๆที่ลงตัว ตรงย่านใจกลางเมืองยังเป็นที่ตั้งของหอนาฬิกาเพอร์เซลล์ ที่ใครยังไม่เจอหอนาฬิกานี้ก็เท่ากับยังมาไม่ถึงปิ่นอูหลิ่น

ไม่เพียงแค่นั้น เมืองปิ่นอูหลิ่นยังเคยเป็นที่ตั้งของโรงเรียนสอนภาษาอังกฤษคอนแวนต์ชื่อดังๆที่ชนชั้นสูงในยุคอาณานิคมต่างส่งลูกหลานมาเล่าเรียนที่นี่ และปัจจุบันก็ยังมีโรงเรียนที่รู้จักกันในระดับประเทศกระจุกอยู่ที่เมืองแห่งนี้ด้วยเช่นเดียวกัน มีเด็กๆ จากทั่วทุกสารทิศในประเทศมาเรียนอยู่ที่โรงเรียนกินนอนเอกชนที่นี่ ว่ากันว่า ผู้ปกครองต้องจ่ายค่าเทอมกันเป็นปีต่อปีกันเลยทีเดียว และด้วยความที่อากาศเย็นตลอดทั้งปีเพราะตั้งอยู่บนพื้นที่ราบสูงฉาน (Shan Highland)ด้วยระดับความสูง 1,070 เมตร จึงทำให้เมืองปิ่นอูหลิ่นกลายเป็นเมืองตากอากาศที่บรรดาเหล่าขุณนางผู้ดีอังกฤษมักมาผักผ่อนหย่อนใจเพื่อหนีจากอากาศที่ร้อนอบอ้าวทั้งจากมัณฑะเลย์และย่างกุ้งในอดีต และจนถึงปัจจุบัน เมืองปิ่นอูหลิ่นก็ยังคงความมีเสน่ห์ที่ทำให้ผู้คนจากทั่วประเทศในพม่าต้องมาเยือนให้ได้สักครั้งในชีวิต โดยเฉพาะช่วงหน้าหนาวที่มีนักท่องเที่ยวเข้ามาเที่ยวเมืองนี้กันอย่างคึกคักกันเลยทีเดียว ที่นี่ยังเป็นแหล่งผลิตพืชพันธุ์ดอกไม้และผลไม้เมืองหนาว อีกทั้งยังเป็นแหล่งผลิตกาแฟรสดีขึ้นชื่อของประเทศ ผู้คนเมืองนี้ยังมีรายได้จากการเลี้ยงโคนมและทอเสื้อกันหนาว เป็นแหล่งผลิตเสื้อกันหนาวที่ใหญ่ส่งออกขายทั่วประเทศอีกด้วย


ความน่าสนใจของเมืองปิ่นอูหลิ่นไม่ได้อยู่ที่ย่านใจกลางเมืองเพียงอย่างเดียว ปั่นรถถีบออกมาเที่ยวรอบๆเมืองตามซอยเล็กๆเป็นอะไรที่นักท่องเที่ยวต่างถิ่นต้องลองสักครั้ง เพราะยังสามารถพบเห็นบ้านเรือนเก่าๆ ที่ยังหลงเหลือแบบสไตล์อังกฤษอยู่มากมาย บ้านบางหลังยังคงมีคนอาศัยอยู่และได้รับการดูแลเป็นอย่างดี แต่น่าเศร้าที่บางแห่งถูกปล่อยให้ทิ้งร้างจะพังไม่พังแหล่ะ นอกจากตัวบ้านแบบอังกฤษแล้ว แม้แต่สวนหรือประตูรั้วหน้าบ้านที่นี่ก็ถูกออกแบบสไตล์อังกฤษ มีต้นไม้ที่ร่มรื่นเขียวขจีตลอดเส้นทางบวกกับบรรยากาศฟ้าใสแดดอ่อนๆซึ่งทำให้ผู้มาเยือนรู้สึกสดชื่นตลอดทริป และรู้สึกกำลังปั่นรถถีบเที่ยวเมืองชนบทของอังกฤษยังไงอย่างงั้น จากที่เที่ยวตามเมืองต่างๆในพม่าต้องบอกเลยว่า เมืองปิ่นอูหลิ่นเป็นอีกเมืองที่ดูแลรักษาต้นไม้ได้เป็นอย่างดี อีกทั้งผู้คนก็ใส่ใจรักษาความสะอาด เป็นเมือง Green และ Clean ที่ต้องยกนิ้วให้

แต่วกเข้าเรื่องบ้านสไตล์อังกฤษที่นี่ ว่ากันว่า บ้านบางหลังมีบรรดาพวกดาราเศรษฐีคนไฮโซจากทั่วสารทิศในพม่า หรือแม้แต่บรรดานายพลในกองทัพพม่าเป็นเจ้าของ หรือแม้แต่บ้านที่สร้างกันในยุคนี้เองก็โอ่อ่าอลังการงานสร้างแสดงถึงฐานะเจ้าของบ้านได้เป็นอย่างดี ที่เมืองนี้จึงเป็นที่ๆคนรวย คนมีอันจะกินมาอยู่รวมกันหรือมาพักผ่อนชิวๆ แต่ใช่ว่าจะไม่มีคนจน คนหาเช้ากินค่ำก็มีให้เห็นดาษดื่นเยอะแยะที่เมืองนี้ โดยเฉพาะแรงงานลูกจ้างที่เป็นเด็กตัวเล็กๆพบเห็นได้ตามร้านอาหาร รู้สึกจุกอกเพราะช่องว่างระหว่างคนจนและคนรวยประเทศนี้ช่างห่างไกลไม่ต่างจากไทยแลนด์มากนัก และอดไม่ได้ที่จะบอกว่า ในปัจจุบันเมืองปินอูหลิ่นก็ยังคงมีความสำคัญทางด้านการทหาร เพราะเป็นที่ตั้งของโรงเรียนทหารของกองทัพตั้ดมะด่อวที่มีชื่อเสียงที่สุดอยู่หลายแห่ง วันดีคืนดีจะเห็นกลุ่มทหารนายวิ่งออกกำลังกายร้องเพลงรอบเมือง หรือภาพนักเรียนทหารหนุ่มหน้าตามุ่งมั่นสวมเครื่องแบบเต็มยศดูภูมิฐานถือกระเป๋าเดินกลับบ้านเป็นภาพชินตาที่นี่ ว่ากันว่า ใครอยากรับราชการทหารและมีความก้าวหน้าในอาชีพนี้ก็จำเป็นต้องมาเรียนที่นี่ คนใหญ่คนโตในกองทัพต่างก็จบมาจากโรงเรียนทหารที่นีี่กันทั้งนั้นว่างั้นเถอะ

สถานที่เช็คอินยอดฮิตเมื่อมาปิ่นอูหลิ่นคือ สวนพฤกษศาสตร์กั่นดอว์จี ที่ชาวพม่านิยมมาเที่ยวกัน สวนแห่งนี้สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1915 โดยปัจจุบันมีการปลูกพืชพันธุ์พื้นเมืองและจากต่างประเทศกว่า 500 สายพันธุ์ โดยจำลองมาจากสวนคิว (Kew Gardens) ในประเทศอังกฤษ ขณะที่เทศกาลดอกไม้ที่สวนกั่นดอว์จีมักจัดระหว่างกลางเดือนธันวาคมไปจนถึงกลางเดือนมกราคม หากเป็นคนรักธรรมชาติแล้วล่ะก็ สวนกั่นด่อว์จีจึงเหมาะที่จะมาเดินเล่น ปิกนิคพักผ่อนหย่อนใจเป็นอย่างยิ่ง และถนนเส้นที่คุณจะต้องไม่พลาดอีกแห่งหนึ่ง เมื่อมาปิ่นอูหลิ่นคือถนน Nanda ที่มุ่งหน้าไป”กั่นดอว์จี” เพราะมีร้านอาหารน่านั่งอยู่หลายร้าน แต่วันนี้ เราจะขอแวะร้านอาหารอินเดียที่ชื่อ The Taj

ร้านอาหารอินเดียแห่งนี้ ตกแต่งได้สวยงามติดข้างทะเลสาบกั่นดอว์จี เป็นทั้งร้านอาหารและบาร์ ที่เลิศกว่านั้นคือ รสชาติอาหารอร่อยและราคาก็ไม่แพงมาก มีตั้งแต่ราคา 700 จั้ตไปจนถึง 7,000 จั้ต ต้องบอกเลยว่า ของดีมีอยู่จริงที่นี่ และขอแนะนำให้มาช่วงค่ำๆก่อนอาทิตย์ตก เพราะวิวทะเลสาบตรงหน้าที่มองออกมาจากร้านและรสชาติอาหารที่นี่จะทำให้ประทับใจไม่รู้ลืม และหากเลยไปอีกนิดหนึ่ง บนถนนเส้นเดียวกัน ตรงข้ามกับสวนสาธารณะ ใครที่กำลังมองหาของว่างของหวานแบบพม่าๆล่ะก็ แนะนำร้าน Barista Khine ที่นี่มีน้ำผลไม้สดๆปั่นจะเลือกปั่นใส่นมหรือโยเกิร์ตก็แล้วแต่ชอบ ในส่วนของขนมหวานแม้จะมีเมนูให้เลือกไม่เยอะ แต่ทุกเมนูต่างคัดสรรคุณภาพและความอร่อยให้ลูกค้า สั่งสตรอเบอรี่ปั่นกับอโวคาโดอย่างละหนึ่งแก้ว เค้กหน้าชีสและพุดดิ้ง ทั้งหมดราคาแค่ 4,500 จั้ต หรือแค่ประมาณ 106 บาท ต้องบอกเลยว่า “ซากาวแด่ ไจ้ก์แด่” แปลได้ว่า อร่อยและชอบจริงจริ้ง

อีกกิจกรรมหนึ่งที่ไม่ควรพลาดเป็นอย่างยิ่งคือการเข้าร้านสระผม แนะนำให้เลือกร้านใหญ่ๆเพราะสะอาดและพนักงานร้านได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี และถึงแม้จะพูดภาษาพม่าไม่ค่อยได้ ตามประสาคนไทใหญ่ที่เติบโตในเมืองไทย แต่ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคสำหรับคนที่อยากลองประสบการณ์ในร้านสระผมแบบพม่า ขอให้พูดได้แค่สองสามประโยคก็เป็นอันใช้ได้ “จั่มมะ เกาฉ่อฉิ่นเด่ชิน” แปลได้ว่าดิฉันอยากสระผมค่ะ อีกประโยคหนึ่งที่ขาดไม่ได้หากเข้าร้านสระผมที่เมืองปิ่นอูหลิ่น”เหย่ผู่ชิหล่าชิน มีน้ำอุ่นไหมคะ”เพราะหากสระน้ำเย็นที่อุณหภูมิที 10 องศากว่าๆ คงไม่ไหวแน่ๆ และเมื่อก้าวเท้าเข้าร้านสระผมที่นี่คุณจะได้รับการต้อนรับด้วยรอยยิ้มและผ้าห่มเป็นอันดับแรก เมื่อไหร่ที่นอนลงบนเตียง พนักงานจะรีบนำผ้าห่มมาคลุมตัวให้ จากที่สังเกตทุกร้านส่วนใหญ่ต้องมีผ้าห่มไว้ให้ลูกค้า ร้านไหนไม่มีผ้าห่มนี่อาจเสียลูกค้าโดยไม่รู้ตัว

 

ก่อนจะสระผม พนักงานจะนวดศีรษะให้ลูกค้าซึ่งใช้เวลาประมาณ 5-7 นาที เพื่อให้ลูกค้ารู้สึกผ่อนคลาย “คันตรงไหนอีกคะ?” เมื่อเริ่มสู่ขั้นตอนการสระจะได้ยินประโยคนี้ซ้ำๆ อย่าเพิ่งคิดทะลึ่งตึงตัง พนักงานหมายถึงคันศีรษะตรงไหนอีกที่อยากให้เกา พนักงานจะใช้เล็บค่อยๆเกาเป็นทางยาวตั้งแต่กลางหัวไปจนถึงท้ายทอยไปมาซ้ำๆจนแน่ใจว่า ทุกอนูของหนังศีรษะลูกค้าสะอาดหมดจด นอกจากนี้ระหว่างที่สระผม พนักงานจะเพิ่มน้ำหนักมือจากเบาไปหาหนัก และเปลี่ยนลีลาการนวดลูกเล่นไม่ซ้ำกันในแต่ละรอบที่สระ โดยปกติจะสระทั้งหมดอยู่ประมาณ 2-3 รอย โดยพนักงานจะใส่ใจถามอยู่ตลอดเวลาว่าโอเคไหม ซึ่งหากพอใจก็สื่อสารออกไปได้ว่า “ย่าแด่ กาวแด่” ซึ่งแปลได้ว่า โอเคและกำลังดีเลย

 

ระหว่างที่หมักครีมนวดผม พนักงานจะนวดไต่ระดับจากไหล่ไปจนถึงนิ้วมือ กดตามจุดต่างๆ ที่ชอบมากคือการกดจุดใต้รักแร้ไว้ประมาณ 5 นาทีแล้วปล่อยจะรู้สึกได้ถึงลมร้อนออกจากร่างกาย หลายคนที่มาร้านสระผมในพม่าอาจเผลอหลับไม่รู้ตัวเพราะความสบายตัวที่สุด และจุดไฮไลท์ก่อนล้างน้ำรอบสุดท้ายจะมีการนวดจากกลางหลังไต่ระดับขึ้นมาถึงคอและลีลาการนวดที่ไม่ซ้ำกันอีก ร้านบางแห่งยังนวดหน้าให้เป็นของแถม เริ่มกระบวนการตั้งแต่ต้นจนจบในการสระผมจนเสร็จใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงกว่า ลองนึกภาพดู ห่มผ้าห่มอุ่นๆในระหว่างที่น้ำกำลังชโลมลงผม แม้ฟังดูขัดแย้งกัน แต่เมื่อเดินออกจากร้านสระผมที่นี่จะรู้สึกเหมือนตัวปลิวเหมือนเพิ่งเดินออกจากร้านนวด เป็นประสบการณ์แปลกใหม่ที่ต้องลอง นี่หากมีพรวิเศษอยากยกร้านเสริมสวยพม่าไปไว้ที่บ้าน จะได้เรียกใช้บริการ 24 ชั่วโมง

จบทริปด้วยการนั่งรถออกไปนอกเมืองปิ่นอูหลิ่นประมาณ 30 – 40 นาที เพื่อไปชมน้ำตก ดั้ต ต่อ ไจ้ก หรือที่รู้จักกันอีกชื่อคือน้ำตกอนิสะกานที่ซ่อนตัวอยู่กลางป่า การเดินทางไปยังน้ำตกแห่งนี้จะต้องเดินเท้าเข้าไปใช้เวลาประมาณ 45 นาทีถึง 1 ชั่วโมงขึ้นอยู่กับหยุดพักบ่อยแค่ไหน ทางเข้าก่อนที่จะลงไปที่น้ำตก จะมีชาวบ้านท้องถิ่นมาเสนอเป็นคนนำทาง หรือแบกเครื่องดื่มเย็นๆตามนักท่องเที่ยวไปตลอดทางเลยก็มี ขากลับหากนักท่องเที่ยวเดินไม่ไหวก็มีชาวบ้านมาบริหารหาบส่งถึงปากทางเข้า แต่อาจต้องจ่ายค่าบริการแพงหน่อย การเดินทางมาที่นี่ ถ้าหากไม่คุ้นกับเส้นทางแนะนำจ้างคนท้องถิ่นนำทางเพื่อจะได้ไม่หลง เมื่อมาถึงน้ำตกจะได้สัมผัสกับน้ำใสจนเขียวเป็นมรกต ละอองน้ำที่สาดกระเซ็นจากภูเขาที่มีความสูงราว 76 เมตร เป็นอีกสถานที่ให้ความผ่อนคลายกับผู้มาเยือนได้เป็นอย่างดี แต่หากใครที่มีเวลาไม่มากแต่ไม่อยากพลาดชมน้ำตกแห่งนี้ก็สามารถเดินทางไปที่ลานชมวิวที่ร้านอาหาร The View ที่นี่จะได้เห็นภาพน้ำตกไกลๆไหลมาจากช่องภูเขา ให้ความรู้สึกสงบภายในใจ เป็นความสวยงามอีกมุมหนึ่งของน้ำตก ดั้ด ต่อ ไจ้ก์

เมื่อดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า เปลี่ยนเวรกับพระจันทร์ที่เข้ามาแทนที่ จึงได้เวลาบอกลาเมืองปิ่นอูหลิ่น ค่ำคืนนี้ฟ้าใสแจ๋วมีดาวอยู่เคียงข้างระยิบระยับ แม้สองข้างทางจะมืดมิดเป็นช่วงๆ แต่แสงสว่างจากพระจันทร์ดวงใหญ่คอยนำทางให้รถแท็กซีพาคนตางถิ่นเดินทางกลับลงเขาได้อย่างปลอดภัยเพื่อไปยังอีกจุดหมาย การจากลาครั้งใดย่อมมีความเศร้า แต่ยังดีที่ยังมีเสียงเพลงพม่าเพราะๆจากจายทีแสง นักร้องชาวไทใหญ่ที่โด่งดังมากในหมู่คนพม่า คอยขับกล่อมปลอบประโลม

“ฉันต้องไป ณ ที่ห่างไกล ได้โปรดรอฉันหน่อย ไม่นานฉันจะกลับมาหาเธอ” บทเพลงของจายทีแสงกำลังแทนความรู้สึกได้เป็นอย่างดี แล้วฉันจะกลับมาพบเธอใหม่ปิ่นอูหลิ่น


On Key

Related Posts

ช้างยังป่วยหลังลงเล่นน้ำกก-แพ้เป็นผื่นมีตุ่มกลายเป็นแผล ผจก.ปางช้างกะเหรี่ยงรวมมิตรเผยนักท่องเที่ยวหาย 80% ศิลปินแต่งเพลงรณรงค์หยุดสารพิษ พบรายวันปลาแข้เป็นโรค-เร่งส่งตรวจ

เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2568 ที่ปางช้างกะเหรี่ยงรวมRead More →

ภาพถ่ายทางอากาศ“จิสดา”พบเปิดหน้าดินขนาดใหญ่กว่า 40 จุดที่ต้นแม่น้ำกก-น้ำสายใช้เวลาแค่ 2 ปีรุกป่าเหี้ยน ประธาน กมธ.ที่ดินจี้ใช้กลไกทางทหารเร่งหารือ-กต.ทำหนังสือประท้วงพม่าแล้ว

เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2568 ดร.พูนศักดิ์ จันทร์จำปRead More →

พบปลาป่วยในแม่น้ำโขงอีกเป็นตุ่มแดงตามครีบ-ปาก “ครูตี๋”เชื่อติดเชื้อจากลำน้ำสาขา กก-สาย-รวก ขยายวงกว้างขึ้นเรื่อยๆ ชาวประมงเผยไม่เคยเห็นอาการนี้มาก่อน ผู้เชี่ยวชาญแนะหาสาเหตุทำให้ปลาอ่อนแอ

เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2568 นายปุ๊ คนจับปลาท่าหาดไRead More →

SHRF แฉพบเหมืองแร่หายากต้นแม่น้ำกก -เปิดหน้าดินวงกว้าง-เผยใช้สารเคมีรุนแรงเทละลายหินบนภูเขา เชื่อเป็นสาเหตุสารพิษในแม่น้ำกก-แม่น้ำสาย นอกจากเหมืองทอง

เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2568 มูลนิธิสิทธิมนุษยชนไทใRead More →