เมื่อวันที่ 24 มกราคม 2561 สำนักข่าวเมียนมาร์ไทม์ ของพม่ารายงานว่า องค์การค้าไม้เมียนมา (Myanmar Timber Enterprise-MTE) ภายใต้กระทรวงอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของพม่า ได้เปิดปางช้างแห่งแรกขึ้นที่เมืองปิ่นอูหลิ่น เขตเมืองมัณฑะเลย์ เมื่อวันที่ 20 มกราคมที่ผ่านมา โดยหวังดึงดูดนักท่องเที่ยวและยกปางช้างของไทยเป็นแม่แบบในการทำธุรกิจปางช้าง
ปางช้่างแห่งแรกชื่อ Dee Doke Waterfall Elephant Camp ใกล้กับหมู่บ้านเช้าก์ชอว์ อยู่ห่างจากทางหลวง Ye Ywar Hydro Power Project ไปราว 14 กิโลเมตร โดยนายอูหนั่นดา โซ รองผู้จัดการทั่วไปขององค์การค้าไม้ ประจำเมืองปิ่นอูหลิ่นกล่าวว่า ปางช้างแห่งนี้จะให้การต้อนรับนักท่องเที่ยวในเร็วๆนี้ โดยเป็นโครงการนำร่องเพื่อที่จะใช้ชีวิตให้กลมกลืนกับช้างท่ามกลางธรรมชาติได้อย่างไร
“ประเทศไทยสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวด้วยช้างที่สามารถวาดรูปได้ เราจะบรรลุในเป้าหมายในระดับเดียวกัน เราได้เตรียมการมาทั้งหมดเป็นเวลา 4 เดือน” นายอูหนั่นดา โซ กล่าว
นายอูหนั่นดา โซ กล่าวว่า การเปิดปางช้างแห่งนี้ก็เพื่อช่วยเหลือช้างและแรงงานที่เคยทำงานในภาคอุตสาหกรรมค้าไม้ เนื่องจากรัฐบาลพม่าได้ลดการผลิตสินค้าประเภทไม้ นอกเหนือจากนี้เพื่อสร้างรายได้จากช้างที่เชื่อมโยงกับการท่องเที่ยว ในขณะที่ปางช้างแห่งนี้มีพื้นที่ครอบคลุม 185 ไร่ นอกจากนี้ยังมีพื้นที่เพาะปลูกอีก 250 ไร่ แต่ยังมีช้างเพียง 6 เชือกเท่านั้น และสามารถเพิ่มจำนวนช้างได้อีกแค่ 4 เชือกเท่านั้นเนื่องจากมีพื้นที่เพาะปลูกจำกัด
ด้านนางสาวกัญจนา ศิลปอาชา อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาและเป็น 1 ในกลุ่มคนรักษ์ช้าง กล่าวว่าเข้าใจดีว่าภายหลังจากที่อาชีพชักลากซุงค่อยๆหมดไป จำเป็นต้องหารายได้เพื่อความอยู่รอด แต่การที่จะยึดถือไทยเป็นต้นแบบในการหารายได้จากช้างนั้น มีด้วยกัน 2 ลักษณะ คือ 1.ใช้ช้างบริการนักท่องเที่ยว ทั้งให้ขี่หลัง หรือให้วาดภาพ ซึ่งขณะนี้เป็นที่ทราบกันดีทั่วโลกว่าเบื้องหลังกว่าที่ช้างจะทำเช่นนั้นได้ ต้องผ่านการทารุณกรรมอย่างแสนสาหัส ซึ่งทำให้การท่องเที่ยวช้างในลักษณะนี้ได้รับความนิยมน้อยลงทุกวัน 2.ท่องเที่ยวโดยการชื่นชมวิถีชีวิตของช้างและคอยดูแลช้างในลักษณะต่างๆ เช่น อาบน้ำ ป้อนอาหาร เก็บมูลช้าง ซึ่งการท่องเที่ยวในลักษณะนี้ปัจจุบันกำลังได้รับความนิยมโดยเฉพาะชาวตะวันตก เพราะไม่เป็นการทารุณกรรมช้าง และยังสามารถมีรายได้จำนวนไม่น้อย ซึ่งปัจจุบันในหลายปางช้างของไทยได้จัดทัวร์ในลักษณะนี้โดยเรียกเก็บค่าบริการหัวละ 3,000 บาทต่อวัน
“เบื้องหลังการทารุณกรรมช้างเพื่อฝึกไว้คอยบริการนักท่องเที่ยวด้วยรูปแบบถูกเผยแพร่ในวงกว้างขึ้นทุกวัน กว่าเขาจะฝืนทำอะไรได้สักอย่างต้องผ่านความโหดร้ายมากมาย เพราะฉะนั้นการที่จะมองปางช้างในประเทศไทยเป็นตัวอย่างก็ควรศึกษาให้ลึกซึ้งเพื่อที่จะได้ไม่เกิดความผิดพลาด แม้ในช่วงต้นอาจจะยังทำเช่นนี้ไม่ได้ แต่สิ่งที่ต้องคำนึงถึงเป็นอย่างยิ่งคือเรื่องมาตรฐานต่างๆควรกำหนดไว้ให้ชัดเจน เช่น ให้ช้างแบกรับน้ำหนักได้เท่าไร ทำงานวันละกี่ชั่วโมง หรือกรณีที่กำลังท้องก็ควรให้หยุดงาน ที่สำคัญคือไม่ควรพรากแม่พรากลูกก่อนเวลาอันสมควร”นางสาวกัญจนา กล่าว
—————-