เรื่องโดย Saw Poshee
นาง หน่อ มื่อ เตอ เหล่ วัย 40 ปี เป็น 1 ในชาวบ้านราว 6,000 คน ที่ต้องทิ้งทุกอย่าง หนีเอาชีวิตรอดออกจากหมู่บ้านในการสู้รบระหว่างทหารของกองทัพพม่ากับกองกำลังกะเหรี่ยงเมื่อราว 2 ปีก่อน จนต้องไปอาศัยอยู่ในค่ายพักชั่วคราวบริเวณวัดเมียนจีหงู่
ครอบครัวของเธอกลายเป็นผู้พลัดถิ่นในบ้านเกิดของตัวเองเนื่องจากผลของสงคราม เดิมทีเดียวเธออยู่ที่หมู่บ้านแมเซก ริมแม่น้ำสาละวิน ทางตอนเหนือของเมืองเมียนจีหงู่ ในรัฐกะเหรี่ยง ห่างจากชายแดนไทย-พม่าทางฝั่ง จ.ตากเพียงไม่กี่สิบกิโลเมตร
เช่นเดียวกับชาวบ้านจำนวนมากในรัฐกะเหรี่ยง หน่อ มื่อ เตอและสามี ต้องหนีภัยการสู้รับตั้งแต่ยังเป็นเด็ก โดยย้ายที่อยู่ไปเรื่อยๆ จนการปะทะระหว่างทหารของสหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง (KNU) กับกองกำลัง DKBA ซึ่งเป็นแนวร่วมของกองทัพพม่าเริ่มสงบลง เธอจึงได้ปักหลักสร้างครอบครัวอยู่ที่หมู่บ้านทีล่าแม ริมถนนเมืองเมียนจีหงู่ – บ้านแม่ตะวอ (ตรงข้ามฝั่งแม่น้ำเมย อ.ท่าสองยาง จ.ตาก)
แต่ในหมู่บ้านแห่งนี้เธอไม่มีที่ทำกินเป็นของตนเอง ครอบครัวของเธอเลี้ยงชีพด้วยการรับจ้างทำนาในที่นาของคนอื่น เพราะไม่กล้ากลับไปทำกินในหมู่บ้านเดิมของตนเอง หลังจากที่มีการสู้รบอย่างต่อเนื่องหลายสิบปี มีชาวบ้านน้อยคนที่กล้าเสี่ยงชีวิตกลับไปยังหมู่บ้านเดิม
ครอบครัวของเธออาศัยอยู่ที่หมู่บ้านทีล่าแม ได้ไม่นาน รัฐบาลพม่าได้ออกหน่วยทำบัตรประชาชนให้กับชาวบ้านในพื้นที่ห่างไกล ทำให้เธอได้รับบัตรประชาชนพม่าครั้งแรกในคราวนั้น จากนั้นไม่นานช่วงปลายปี 2016 กองทัพพม่าเริ่มเข้ามาเคลื่อนไหวในสนามรบตลอดพื้นที่แนวถนนเมืองเมียนจีหงู่ – บ้านแม่ตะวอ ทำให้ชาวบ้าน 6,000 กว่าคนต้องหนีตายเข้ามาอาศัยในค่ายพักชั่วคราวบริเวณวัดเมียนจีหงู่ ซึ่งปัจจุบันชาวบ้านเหล่านั้นยังไม่สามารถกลับไปยังหมู่บ้านเดิมของตนเองได้ เพราะสถานการณ์ในพื้นที่ยังไม่น่าไว้วางใจ
“ชีวิตในค่ายพิงชั่วคราวค่อนค้างลำบาง ไม่มีช่องทางที่จะทำมาหากินได้ แต่ครอบครัวฉันยังโชคดี ที่พี่เขยทำงานกับองค์กรสาธารณสุขในพื้นที่ชายแดน เขาจึงพาครอบครัวของเรามาอยู่ที่พื้นที่ เลเก่ก่อ พวกเราหนีออกจากหมู่บ้านไปอยู่ที่เมืองเมียนจีหงู่ได้ 4- 5 เดือน ก็ได้มาอยู่ที่นี่ ตอนอยู่ที่หมู่บ้านลูกๆเราไม่ได้เรียนหนังสือ พอได้มาอยู่ที่นี่พี่ชายของสามีก็จัดการให้ลูกๆ ของเราได้เรียนหนังสือ” นาง หน่อ มื่อ เตอ เหล่ บอกถึงคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
ในพื้นที่เลเก่ก่อ สหภาพชนชาติกะเหรี่ยง-KNU และองค์กรสาธารณกุศลได้ร่วมกันสร้างศูนย์พักพิงสำหรับชาวบ้านที่หนีภัยความตาย
นาง หน่อ มื่อ เตอ เหล่ มีลูกทั้งหมด 6 คน เป็นชาย 4 คนและหญิง 2 คน โดยลูกชายคนโตวัย 19 ปีและลูกสาวคนที่ 3 วัย 9 ปี ได้รับการอุปการะจากลุง ลูกชายวัย 14 ปี ช่วยพ่อทำงาน ลูกชายวัย 7 ขวบกับ 4 ขวบได้เข้าเรียนในระดับอนุบาลที่โรงเรียนแห่งเดียวในเลเก่ก่อ ส่วนลูกสาวคนสุดท้องวัย 8 เดือนเป็นสมาชิกเพียงคนเดียวที่มีเอกสารรับรองการเกิดจากสถานพยาบาลที่แม่เธอไปคลอด
ชีวิตในเขตพื้นที่เลเก่ก่อ แม้ไม่สะดวกสบายมากนักแต่ครอบครัวเธอก็รู้สึกปลอดภัย สามีพอมีรายได้จากการเผาถ่านคราวละ 3-5 กระสอบ ซึ่งขายได้ประมาณ 200 – 350 บาท ส่วนลูกชายวัย 14 ปี พอมีค่าจ้างรายวันเมื่อผู้รับเหมาก่อสร้างในพื้นที่โครงการเลเก่ก่อเรียกไปช่วยงาน ซึ่งได้ค่าตอบแทนอยู่ที่วันละ 6,000 จ๊าต หรือราว 150 บาท แต่ก็ไม่มีงานทุกวัน ส่วนในฤดูฝนรายได้หลักของครอบครัวมาจากการรับจ้างปลูกข้าวโพด ซึ่งสามีและลูกชายเธอจะได้รับค่าจ้างวันละ 120 – 150 บาท แล้วแต่หน้าที่ที่ได้รับในไร่ ซึ่งรายได้แม้ไม่สม่ำเสมอ มีงานบ้าง ไม่มีงานบ้าง แต่ครอบครัวก็ยังพออยู่ได้ อย่างน้อยเด็กๆ ก็ได้เรียนหนังสืออย่างที่ควรเป็น
โครงการเมืองเลเก่ก่อ เป็นโครงการที่เริ่มดำเนินการจัดสร้างขึ้นเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2015 หลังจากที่สหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง หรือ KNU เริ่มเข้าสู่กระบวนการเจรจาสันติภาพกับรัฐบาลพม่า ช่วงระยะแรกของโครงการมีหน่วยงานเอกชนของพม่า ซึ่งเป็นองค์กรเพื่อการพัฒนาพื้นที่ชายแดน เป็นผู้สนับสนุนทุนในการดำเนินการก่อสร้างอาคารสำนักงาน และบ้านพักเพื่อรองรับผู้พลัดถิ่น รวมถึงผู้ยากไร้ที่ขึ้นทะเบียนแสดงความจำนงค์เข้ามาอยู่ในพื้นที่โครงการ โดยเริ่มสนับสนุนบ้านพักอาศัยจำนวน 263 หลัง ต่อมามูลนิธินิปอน ของประเทศญี่ปุ่น ให้การสนับสนุนเพิ่มเติม 100 หลัง และปัจจุบันกำลังดำเนินการก่อสร้างเพิ่มเติมอีก 100 หลัง และชาวบ้านบางส่วนได้รับพื้นที่จัดสรรให้ โดยที่ชาวบ้านดำเนินการสร้างบ้านเอง มีบ้านทั้งหมดในพื้นที่โครงการ 667 หลังคาเรือน
พื้นที่เลเก่ก่อ เป็นโครงการที่อยู่ในเขตรับผิดชอบของกองพลที่ 6 จังหวัดดูปลายา ของสหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง ซึ่งเป็นพื้นที่ที่อยู่ไม่ไกลจากเมืองเมียวดีมาทางทิศใต้ และมีพื้นที่ชายแดนติดกับบ้านแม่โกนแกน อ.แม่สอด จ.ตาก
นาง หน่อ มื่อ เตอ และครอบครัว ใช้ชีวิตในพื้นที่สงบครบรอบแล้ว 1 ปี เธอหวังเพียงว่า พื้นที่แห่งนี้จะเป็นพื้นที่ปลอดภัย และครอบครัวจะได้ไม่ต้องหนีจากการสู้รบอีกต่อไป