ก่อนย้ายไปเรียนกรุงเทพฯเมื่อตอนอายุ 12 ปี ดร.กฤษณา ไกรสินธุ์ เคยมีความทรงจำอันผูกพันธ์กับป่าเขาบนเกาะสมุย
พ่อของดร.กฤษณาคือหมอสมคิด ไกรสินธุ์ มีสวนมะพร้าวและผลไม้อยู่บนเขาป้อม ซึ่งในอดีตเป็นป่าผืนใหญ่บนเกาะสมุย โดยในยุคก่อนนู้นต้องใช้เวลาเดินเท้าจากด้านล่างถึง 4 ชั่วโมงกว่าจะถึงสวน
“พอเดินขึ้นทีไรต้องมาแวะพักที่ใต้ต้นไทรใหญ่ เห็นสวนนี้ทีไรคิดถึงพ่อ ตอนนั้นพ่อให้คนมาทำสวนและปลูกบ้านให้อยู่ จนเขามีฐานะดีเพราะมีรายได้จากสวน จนวันหนึ่งเขามาบอกว่าขอซื้อสวนมะพร้าวของพ่อ แต่พ่อไม่ขาย เขาโกรธและเผาบ้านที่ให้เขาอยู่ พ่อแจ้งความและเขาถูกจับติดคุก พ่อก็ไปเยี่ยมเขาเสมอ พอเขาออกจากคุก พ่อก็หางานให้เขาทำ คือพ่อให้อภัยหมดทุกอย่าง แสดงให้เห็นว่าพ่อไม่ยึดติดอะไร” ดร.กฤษณาได้ซึมซับคุณค่าจากพ่อไว้จนถึงปัจจุบัน
วันนี้ ดร.กฤษณาในวัย 66 ปี ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานจนมีชื่อเสียงระดับโลกในฐานะเภสัชกรที่ตระเวนสร้างโรงงานผลิตยาให้กับคนยากคนจนในประเทศโลกที่ 3 โดยเฉพาะในแอฟริกาใต้ 17 ประเทศ ขณะที่ในส่วนของประเทศไทย ดร.กฤษณาได้ใช้สมุนไพรเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างชุมชนเข้มแข็งตั้งแต่พื้นที่ 3 จังหวัดภาพใต้ไปจนถึงเชียงรายและศรีสะเกษ
“ก็รู้สึกผูกพันธุ์กับเกาะสมุย เราได้บริจาคที่ดินทั้ง 43 ไร่ให้พระอาจารย์โพธิ์(พระภาวนาโพธิคุณ เจ้าอาวาสวัดธารน้ำไหล)เพื่อสร้างสวน “สมคิดกฤษณาสาระภู” ซึ่งเป็นศูนย์ปฏิบัติธรรมและสวนสมุนไพร ที่ดินบริเวณนั้นฉันเคยเอาสมุนไพรไปปลูกไว้ราว 5 พันต้น รอดเกือบหมด”
ดร.กฤษณาและชาวบ้านบนเกาะสมุยกำลังสร้าง “สมุยโมเดล” ขึ้นมา ภายหลังจากที่ดร.กฤษณาได้จับพลัดจับผลูร่วมประชุมกับชาวสมุยเพื่อเตรียมการเดินภาวนารอบเกาะของอาจารย์ประมวล เพ็งจันทร์
ระหว่างวันที่ 8 เมษายน-1 พฤษภาคม 2561 อาจารย์ประมวลและคณะได้เดินรอบเกาะสมุย เพื่อคารวะเกาะและบรรพชน รวมทั้งศึกษาธรรมชาติในใจตนเองและโดยรอบ เป็นการเดินกลับสู่ธรรมชาติอันเป็นหนึ่งเดียว โดยใช้ชื่อการเดินครั้งนี้ว่า “เดินกินห่อ สาวย่าน ตำนานสมุย”
“อาจารย์ประมวลเดินสร้างจิตสำนึก ซึ่งเป็นเรื่องดีนะที่จะช่วยกันสร้างจิตสำนึกของคนสมุย แต่ฉันคิดอีกแบบว่า จิตสำนึกชองคนสมุยหายไปตั้งนานแล้ว ไม่รู้จะขุดขึ้นมาได้เมื่อไร ฉันก็เป็นคนสมุย พ่อแม่ก็เป็นคนสมุย เรามองว่าทุกวันนี้มันวัตถุนิยมจนไม่รู้ว่าจริง ๆ แล้ว เราต้องการอะไร รักสมุยจริงหรือไม่ อะไรที่เป็นนามธรรมฉันทำไม่เป็น แต่ชื่นชมคนที่ทำได้ เลยเสนอว่าอยากทำอะไรที่เป็นรูปธรรมและมีความถนัด คือด้านสมุนไพรและการแปรรูป แต่ทำไมต้องทำสมุนไพรอย่างเดียว เลยเสนอเรื่องเกษตรอินทรีย์ เป็นการเสริมให้การเดินของอาจารย์ประมวลมีความหนักแน่นและเห็นชัด ๆ ว่ามีของออกมา” ดร.กฤษณาย้อนถึงที่มาของ “สมุยโมเดล”
สมุยโมเดลเติ่มต้นด้วยการการประชุมเลือกพื้นที่ โดยมีประสบการณ์ “ลังกาสุกะโมเดล” ซึ่งเป็นโครงการสวนสมุนไพรและเกษตรอินทรีย์ใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ ที่ดำเนินการมาแล้วเป็นปีที่ 11
“ทางใต้เราต้องใช้แนวพระราชดำริของในหลวง คือ เข้าใจ เข้าถึง และพัฒนา เข้าใจก็คือติดตามข่าวมาโดยตลอด และมีลูกศิษย์ลูกหาอยู่ที่นั่น แต่เข้าถึงมันยากเพราะว่าเขาไม่ค่อยสบายใจ และการพัฒนาก็จะทำไม่ได้ ถ้าไม่เข้าใจและเข้าถึง การทำที่ภาคใต้ถ้าเราทำตามปีงบประมาณโดยรับงบจากกระทรวงต่าง ๆ ไม่มีทางทำได้ เพราะเขาให้เคลียร์เงินสิ้นเดือนกันยายน แต่กว่าจะรู้จักต้องใช้เวลา 6 ปี เราเลยต้องทำด้วยตัวเอง ซึ่งเป็นโมเดลของ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เนื่องจากวัฒนธรรม ศาสนา ภาษาแตกต่างกัน”
ดร.กฤษณาเดินทางเข้าไปในหลายอำเภอของจังหวัดชายแดนภาคใต้ บางพื้นที่ต้องนั่งรถเข้าไปหลายชั่วโมง แม้บางครั้งมีเหตุการณ์ความไม่สงบเกิดขึ้นเพราะเป็นพื้นที่สีแดง แต่อาศัยคนท้องถิ่นเป็นผู้นำพาจึงไม่เคยเกิดปัญหาใดๆ
“เราถนัดด้านการทำยา ก็เลยสร้างโรงงานผลิตยา เพราะเคยทำที่ทวีปแอฟริกามาหลายประเทศ จึงไม่ใช่เรื่องยากที่จะทำที่ประเทศไทย คิดว่าทำโรงงานก่อน และโรงงานที่ปลอดภัยที่สุดต้องอยู่ที่โรงพยาบาล มีข้อดีคือ 1.มีความปลอดภัยสูง 2.เป็นสถานที่ที่ประชาชนมารักษาซึ่งจะได้ใช้ยาที่เราผลิต 3.สอดคล้องกับนโยบายของกระทรวงสาธารณะสุข ที่ต้องการส่งเสริมให้ประชาชนใช้ยาสมุนไพรเพิ่มขึ้น จึงเลือกสร้างโรงงานยาในโรงพยาบาลจะแนะ ตั้งแต่ปี 2554 แต่ว่าลงไปตั้งแต่ปี 51 พอสร้างเสร็จก็เริ่มผลิตยา เช่น ขมิ้นชัน ฟ้าทะลายโจร ยาชนิดอื่นที่อยู่ในบัญชียาหลัก ชาวบ้านมาโรงพยาบาลแล้วได้รักษาฟรีและได้ยาที่มีคุณภาพฟรี โดยที่เรากับคณะเภสัช มอ.สนับสนุนด้านวิชาการ ทำร่วมกันมา 8 ปีแล้ว เอานักศึกษามาร่วมเรียนรู้ในพื้นที่ด้วย วิธีการทำยาไม่ใช่เรื่องยา คนแอฟริกาทำได้ คนไทยก็ต้องทำได้”
ผลของการลงพื้นที่ต่อเนื่องและยาวนานทำให้ดร.กฤษณาได้รับความไว้วางใจและน่าเชื่อถือจากชาวบ้าน จึงทำให้การทำงานง่ายขึ้น
“เมื่อเขารู้ว่าไม่ได้ไปหลอกเขาแน่นอน เขาก็ไว้ใจ เคยมีคนที่นั่นถามว่า อาจารย์ยังไม่ไปอีก ปกติตนอื่นเขามาอยู่กันปีเดียวก็ไปแล้ว เลยตอบว่ายังไม่ไป พอปีที่ 10 ก็ยังไม่ไป จะไปได้อย่างไร เมื่องานยังไม่เสร็จ พอเขาเห็นของก็เริ่มมีความไว้ใจ เพราะเราเองไม่ได้อะไรจากเขา มีแต่ให้ตลอด ทำให้เข้าถึงเขา จึงพัฒนาได้ ของที่มีคือสมุนไพร วัตถุดิบต้องมาจากพื้นที่ ก็ต้องให้เขาปลูก เพราะฉะนั้นมันเป็นการย้อนกลับ คือมีของก่อนแล้วค่อยปลูก แต่ที่เชียงรายปลูกก่อนแล้วค่อยมีของ ซึ่งแต่ละที่วิธีการก็จะต่างกัน โมเดลจึงต่างกันด้วย”
ลังกาสุกะโมเดลเฟสที่ 2 ได้เริ่มต้นขึ้นด้วยการ ให้ชาวบ้านปลูกพืชสมุนไพร โดยมีการจัดอบรมการทำเกษตรอินทรีย์ และเอาสมุยโมเดลแทรกด้วย ดังนั้นเมื่อเริ่มต้นทำสมุยโมเดล ดร.กฤษณาจึงชักชวนให้คนสมุยไปเรียนรู้งานในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้เพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยน
“สมุยโมเดลง่ายเพราะคนสมุยส่วนใหญ่ท่าทางเป็นปราชญ์ชาวบ้านกันทุกคน มีธุรกิจส่วนตัว เป็นกลุ่มคนที่ไม่ได้ยากจน แตกต่างจากพื้นที่อื่น ๆ จะทำงานง่ายในแง่ที่หากเขามีใจกับเราสามารถทำได้เลย แม้คนสมุยจะเข้าใจยากเพราะต่างคนต่างเก่ง แต่บังเอิญฉันเป็นคนที่ไม่มีผลประโยชน์อะไรเลย แล้วเอางานที่ทำผ่านมาให้ดู จึงสามารถโยง 5-6 คนเข้ามาได้”
ดร.กฤษณาพูดถึงการบริจาคที่ดิน 43 ไร่ เพราะคิดว่ามีที่ดินอยู่แล้ว แต่ไม่ได้ทำอะไร จึงบริจาคไปให้คนได้มาปฏิบัติธรรมดีกว่า เพราะฉะนั้นกลุ่มคนเหล่านี้มีใจอยู่แล้วและมีความรู้เฉพาะทาง เหลือเพียงวิธีการจัดการที่ได้พยายามรวมเป็นกลุ่มสมุยโมเดล โดยในส่วนของสมุนไพรอินทรีย์ ในหลักการต้องมีมาตรฐานรองรับ อันนี้อยากได้ขอ EU เข้ามาช่วย เหมือนกับที่เชียงราย จุดใหญ่คิอต้องตรวจดิน ตรวจน้ำ ซึ่งก็ดีใจ หลังจากตรวจแล้วพบว่าน้ำไม่มีโลหะหนัก ส่วนดินมีสารหนูเล็กน้อยซึ่งต้องมีแผนปรับปรุงดิน เราพอใจของเราแล้วว่าใน 5 พื้นที่ของสมุยน้ำไม่มีปัญหา จึงเริ่มทำได้เลย สมุยโมเดลจึงทำได้เร็วที่สุด เพราะทำอยู่แล้ว ใจมีอยู่แล้ว แต่ถ้าไม่มีตลาดรองรับผลิตภัณท์เหล่านี้ ก็ไม่รู้จะเอาไปขายที่ไหน จึงคิดเปิดร้านที่เป็นลักษณะธุรกิจเพื่อสังคม และเอาของจากลังกาสุกะโมเดลมาลงที่ร้านด้วย
ดร.กฤษณาได้ใช้พื้นที่บ้านบนเกาะสมุยซึ่งอยู่บริเวณหน้าตลาดสดหน้าทอน จัดทำเป็นร้านค้าโดยไม่คิดค่าเช่า และชักชวนนักออกแบบจากปัตตานีมาร่วมออกแบบร้านให้มีเอกลักษณ์ของสมุยและ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ สินค้าก็จะเป็นผลิตภัณท์อินทรีย์ เครื่องดื่มสมุนไพร ยาสมุนไพร ผักสมุนไพร ปกติสมุนไพรออแกนิค
ดร.กฤษณาบอกว่า สมุยโมเดลและการอนุรักษ์ป่าต้นน้ำเป็นไปในทิศทางเดียวกันเพราะการทำเกษตรอินทรีย์ ต้องรักษาป่าต้นน้ำ
“เมื่อครั้งในหลวง ร.9 เสด็จมาเมื่อ 50 ปี ตอนปี 2510 คุณพ่อขับรถให้ในหลวง คือ พอมาถึงสมุยต้องให้หมอสมคิดขับ เพราะพ่อขับรถเก่ง ในหลวงรับสั่งว่า อีก 50 ปี สมุยจะขาดน้ำ ตอนนั้นไม่มีใครคิดเพราะน้ำตกเต็มไปหมด น้ำเต็มเกาะ แต่ 50 ปีผ่านมา สมุยต้องซื้อน้ำจากสุราษฎร์ธานี ถ้าไม่มีน้ำก็จะไม่มีของ พวกเราก็จะอยู่ไม่ได้ ตอนนี้ป่าถูกทำลายหมดแล้ว สวนทุเรียนใช้ปุ๋ยเคมี ใช้ยาฆ่าแมลง แล้วน้ำที่ไหลลงไปข้างล่างจะเหลือได้อย่างไร ก็แย่หมด เพราะฉะนั้นการสร้างป่า ปลูกป่า เป็นการช่วยอนุรักษ์ต้นน้ำ ตาน้ำจะกลับคืนมา และน้ำท่วมก็จะไม่เกิด”
เมื่อถามว่าในฐานะที่เป็นคนสมุย ควรทำอย่างไรที่สามารถปลุกจิตสำนึกคนสมุยได้ดีที่สุด ดร.กฤษณากล่าวว่า ต้องทำให้ดู อย่าพูดอย่างเดียว เพราะพูดไปคนสมุยก็ไม่ฟัง แต่ต้องแสดงให้ดู ต้องทำให้เห็นเป็นตัวอย่าง ยิ่งถ้าเป็นคนนอกพูดรับรองคนสมุยไม่มีเชื่อ ดังนั้นสิ่งเหล่านี้ต้องออกมาจากคนพื้นที่เอง
————-